เปลี่ยนงาน หางาน ช่วงวิกฤต ใครว่าทำไม่ได้

เปลี่ยนงาน หางาน ช่วงวิกฤต ใครว่าทำไม่ได้

หากใครที่กำลังว่างงานจากการถูกเลิกจ้างกระทันหันเพราะพิษโควิดระบาด จำเป็นมากที่ต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุด แต่ในยุคที่หลายๆ ธุรกิจต่างปลดคน ก็อาจจะดูเป็นเรื่องยากในการหางานใหม่อยู่บ้าง ไหนจะเรื่องของคู่แข่งที่แย่งกันหางานอยู่ตอนนี้ก็คงมีไม่น้อย งั้นเรามาดูพร้อมๆ กันดีกว่าว่าจะหางานในช่วงเวลานี้ จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง


 

 

1.Multi Skills  

 

การทำเป็น “อย่างเดียว” อาจไม่พอในชีวิตการทำงาน จึงควรเพิ่มทักษะให้สามารถทำได้หลายอย่าง เพื่อเป็นจุดแข็งที่ได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งที่ต้องการสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน ต้องมีทั้ง Hard skill และ Soft skill โดยจะต้องฝึกปรืออยู่เสมอ เพื่อให้ทักษะเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น 

ยกตัวอย่าง บุคคลที่มี Multi skills เช่น ครีเอทีฟคนหนึ่งที่มีความสามารถหลักคือคิดงาน จัดเป็น Hard skill นอกจากนั้นเขาอาจมีทั้งความสามารถในการตัดต่อวีดิโอ มีความสามารถด้านกราฟฟิคดีไซเนอร์ เป็น Soft skill เป็นต้น วิธีเพิ่มทักษะ ได้แก่

 

เรียนรู้จากในที่ทำงาน

ระหว่างทำงานควรเรียนรู้ทักษะอื่นๆ ไปด้วยเมื่อมีโอกาส อาจอาสาช่วยงานเพื่อนร่วมงาน และให้เพื่อนที่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้นถ่ายทอดความรู้ให้ ทักษะบางอย่างอาจต้องใช้วิธีการสังเกตด้วยตัวเอง และลองหยิบจับหรืออาสาเสมอ ยิ่งถ้าหากมีงานใหม่ๆ มาให้ลอง อย่าบ่ายเบี่ยงหรือหวาดกลัว แต่ให้น้อมรับด้วยความยินดีและเต็มที่กับมัน 

 

เรียนรู้จากวีดิโอออนไลน์

ปัจจุบันแหล่งเรียนสำคัญอยู่บนออนไลน์เกือนทั้งหมด ไม่ว่าจะศาสตร์ใดก็สามารถค้นหาได้เพื่อเรียนออนไลน์ อย่างเช่นกันตัดต่อวีดิโอ ก็สามารถเรียนผ่าน YouTube ได้ รวมถึงการใช้งาน Photoshop AI ก็เช่นกัน เพื่อเสริม Skill ด้านกราฟฟิคดีไซเนอร์ หรือแม้แต่ทักษะการวางแผน ทักษะเชิงกลยุทธ์ ก็สามารถศึกษาได้ด้วยการอ่านบทความหรือฟังคลิปวิทยากรออนไลน์ ที่สำคัญคือต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

 

 

2.ทักษะด้านภาษาต้องมี!  

 

หากมีความสามารถด้านภาษาอย่างน้อยๆ ก็ภาษาอังกฤษที่ควรมีติดตัวไว้ ไม่ว่าจะฟัง พูด อ่าน หรือเขียน ก็จะช่วยให้ได้งานง่ายขึ้น สิ่งที่จะการันตีว่ามีความสามารถด้านภาษาก็คือใบคะแนน ช่วยให้พิจารณาง่ายขึ้น จึงควรสมัครสอบเพื่อมีคะแนนติดตัวไว้ แต่ก่อนสอบต้องติวก่อนเพื่อให้ตัวเองมีความรู้ติดตัว อาจติวด้วยตัวเองก็ได้ แต่อาจต้องใช้เวลาเยอะหน่อย พยามจับทริคทำข้อสอบโดยเฉพาะ เพื่อทำคะแนน เพราะจุดประสงค์หลักคือการมีใบคะแนนสูงๆ ไว้สมัครงาน

 

TOEIC 

การสอบ TOEIC เหมาะสำหรับสมัครงาน เป็นการวัดระดับการฟังและการอ่าน การสอบง่ายที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ TOFLE และ IELTS แต่ก็แน่นอนว่าความน่าเชื่อถือก็ย่อมน้อยกว่าการสอบทั้ง 2 แบบที่กล่าวไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นคะแนน TOEIC ก็จัดว่าเป็นการสอบที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ

 

IELTS 

การสอบ IELTS เหมาะสำหรับการเรียนต่อและสมัครงาน เป็นการวัดระดับการฟัง พูด อ่าน และเขียน ทั้งยังเป็นการวัดระดับภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ ในแง่ของการศึกษาต่อได้รับความนิยมมาก ทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศส่วนมากจะเป็นการยื่นเรียนต่อภาคอินเตอร์ ส่วนต่างประเทศจะนิยมในประเทศฝั่งทาง อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ 

นอกจากเรียนต่อหลายคนใช้คะแนน IELTS สมัครงาน โดยเฉพาะยื่นสมัครในบริษัทต่างชาติ และพิชิตงานในฝันได้สำเร็จ คะแนนความน่าเชื่อถือสูงกว่า TOEIC เพราะวัดระดับ 4 Skills ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน และแน่นอนระดับความยากก็สูงกว่า TOEIC และถ้าหากมีทั้งคะแนน IELTS และ TOEIC ใน Portfolio รับรองว่าโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแน่นอน บริษัทหลายแห่งยังมีการกำหนดเกณฑ์ IELTS เอาไว้คร่าวๆ ในประกาศรับสมัครด้วย

TOFLE

การสอบ TOFLE เหมาะสำหรับการเรียนต่อและสมัครงาน เป็นการวัดระดับการฟัง พูด อ่าน และเขียน ทั้งยังเป็นการวัดระดับภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ ในแง่ของการศึกษาต่อได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศส่วนมากจะเป็นการยื่นเรียนต่อภาคอินเตอร์ ส่วนต่างประเทศจะเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศครอบคลุมมากกว่า IELTS แต่การสอบก็ยากกว่า เพราะเนื้อหาวิชาการค่อนข้างเข้มข้น เช่นธรณีวิทยา พืชศาสตร์ และมีการใช้คำศัพท์เฉพาะมากกว่า ขณะที่ IELTS จะค่อนข้างรอบตัวมากกว่า

นอกจากเรียนต่อคะแนน TOFLE สามารถใช้สมัครงานได้ คะแนนความน่าเชื่อถือสูง แต่เนื้อหาที่ใช้สอบจะยากที่สุดเ เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 3 รูปแบบ


 

3.Present ต้องดี

 

ในขั้นตอนการสัมภาษณ์จะต้องมีทักษะการนำเสนอที่ดี หลายคนมีความสามารถมากพอ แต่สอบตกเรื่องนี้ก็ทำให้การสัมภาษณ์ล้มเหลวและพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ข้อแนะนำสำหรับการ Present ที่ดี ได้แก่

 

เล่าว่าตัวเองทำอะไรมาบ้างให้ครบ

เล่าประวัติการทำงานให้ครบ หรือทักษะที่ใช้ในการทำงานว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือเคยทำอะไรมาบ้าง มีโอกาสได้ทำส่วนไหน พยายามเล่าให้ครอบคลุมอย่าตกหล่น เพราะบางคนอาจโฟกัสเพียงแค่งานหลักของตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่างานรองหรืองานอื่นๆ ที่ได้มีโอกาสทำเพิ่มเติม นอกเหนือจากการที่ทำประจำ ก็ช่วยเพิ่มคะแนนโปร์ไฟล์ได้ 

 

Portfolio คือไม้ตาย

ในส่วนของ Portfolio หลายคนอาจมองว่าสำคัญกับบางตำแหน่งเท่านั้น ที่มีผลงานเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งที่ในความจริงแล้ว Portfolio ก็สามารถบอกเล่าอะไรได้หลายอย่าง บางตำแหน่งอาจไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัชัดเจน เช่นตำแหน่งพวกนักวางแผน นักวิเคราะห์ แต่เชื่อว่าทุกตำแหน่งสามารถทำ Present ได้ ใช้เป็น Portfolio ประกอบการเล่าประสบการณ์ เพื่อให้เห็นภาพชัดมากขึ้น ว่าทำอะไรมาบ้าง จึงอยากแนะนำให้ทุกตำแหน่งมีติดตัวไว้ จัดทำใส่ Power Point หรือสไลด์นำเสนอ 

 

บอกข้อดีของตัวเองไม่น้อยกว่า 3 ข้อ

เมื่อถูกถามถึงข้อดีของตัวเอง ควรเตรียมไว้สัก 3 ข้อเป็นอย่างต่ำ โดยทุกข้อเหล่านั้น ควรเกี่ยวกับงานที่ทำ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น การชอบพูดคุยกับคนอื่น ก็อาจเป็นข้อดีของตำแหน่งการติดต่อประสานงาน หรือการชอบความท้าทาย ก็อาจเป็นข้อดีของการทำงานยากๆ เป็นต้น

 

ข้อเสียก็ต้องมี

นอกจากข้อดีแล้ว ข้อเสียก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีด้วย หากตอบว่าไม่มี ผู้สัมภาษณ์อาจประเมินว่าคุณไม่เคยสังเกตตัวเอง หรือไม่ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง เพราะคนทุกคนต้องมันทั้งข้อดีและข้อเสีย หลังจากนั้นผู้สัมภาษณ์อาจถามต่อไปอีกว่า เมื่อเจอปัญหาแล้วจะจัดการกับข้อเสียตรงนั้นอย่างไร แนะนำให้เตรียมคำตอบเอาไว้ให้พร้อม

 

บอกสิ่งที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม

หนึ่งในการ Present ตัวเองขณะกำลังสัมภาษณ์งาน ให้กับผู้สัมภาษณ์ไปด้วยว่าต้องการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม สิ่งไหนที่ยังขาดและอยากต่อยอด เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่กำลังบอกว่า คุณมีความสนใจในงานที่สมัครมากน้อยแค่ไหน 

 

บอกสิ่งที่อยากทำ

นอกจากสิ่งที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติมก็คือสิ่งที่อยากทำในงาน อยากทำอะไรบ้าง สนใจอะไร ก็ให้บอกไป โดยสิ่งเหล่านั้นจะต้องเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่สมัคร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานมากขึ้น สิ่งนี้แสดงถึงความกระตือรือร้นของตัวคุณเอง นอกจากนี้อาจใช้คำถามแทนคำบอกเล่าก็ได้ โดยการถามถึงตำแหน่งงานมากๆ แสดงความสนใจในงาน จะทำให้ผู้สัมภาษณ์สนใจในตัวคุณ

 

 

4.เงื่อนไขน้อยๆ เข้าไว้

 

ถ้าคุณอยู่ในสถานภาพที่เลือกได้ คุณจะตั้งเงื่อนไขกับตัวเองเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าหากคุณไม่ได้อยู่ในสถานภาพแบบนั้น ยิ่งถ้าหากกำลังตกงานว่างงาน หรือท่ามกลางสถานการณ์ Covid ระบาดแบบนี้ อาจต้องเงื่อนไขน้อยๆ ลงหน่อย เพราะคู่แข่งเยอะมากจริงๆ ไม่ได้บอกให้ยอมจำนนทุกอย่าง ทั้งนี้ก็ยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวคุณเองด้วย ว่าง่ายๆ คือเงื่อนไขและสกิลจะต้องสอดคล้องกันนั่นเอง เงื่อนไขที่พบบ่อย ได้แก่
 

ปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานในอนาคตได้ไหม

หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของตำแหน่งงานในอนาคต ที่ไม่ตรงกับตำแหน่งที่จนสมัครในวันนี้ อาจเป็นการโยกย้ายแผนก และเปลี่ยนหน้าที่ไปจากเดิม เช่น วันนี้สมัครเป็นตัดต่อ วันข้างหน้าจะปรับเปลี่ยนเป็นครีเอทีฟ ได้หรือไม่ อะไรทำนองนี้ คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไข แต่ก็ต้องยอมรับว่าโอกาสได้งานก็จะยากขึ้น และเมื่อมีคนที่ยอมรับเงื่อนไขนี้ เขาก็อาจจะมีโอกาสมากกว่า ในการได้งานนี้ไป 

 

สามารถต่อรองเงินเดือนได้หรือไม่

ส่วนมากแทบทุกบริษัท จะต่อรองเงินเดือน เสมือนเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของบริษัทเอง หากตกงานว่างงานอยู่ บางครั้งการยอมรับในเงื่อนไขนี้ก็ดีกว่าไม่มีงานทำ แต่สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีตัวเลือกมากพอ แม้ตกงานก็ยังมีหลายที่อ้าแขนรับ ก็อาจไม่จำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ จะเลือกรอไปก่อนก็ได้ ตามความสะดวก

 

เดินทางออกต่างจังหวัดได้หรือเปล่า

บางครั้งในการทำงานก็มีเรื่องการเดินทางเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเช่นว่าผู้สมัครต้องออกเดินทางจังหวัดได้ ถ้าหากคุณยอมรับได้ แน่นอนว่าโอกาสได้งานก็มีเพิ่มขึ้น เงื่อนไขนี้ถือว่าไม่หนักหนา ควรยอมรับให้ได้จะดีกว่า แต่ถ้าหากเป็นข้อจำกัดจริงๆ คุณต้องยอมรับว่าโอกาสของคุณเหลือน้อยลงเต็มที เพราะคนสมัครงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ 

 

ทำงานเป็นกะได้หรือไม่

การทำงานเป็นกะ อาจเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับบางตำแหน่ง แต่ก็ไม่สำคัญเลยสำหรับบางตำแหน่ง หากคุณสมัครในตำแหน่งที่มีความสำคัญ คุณควรยอมรับเงื่อนไขนี้ให้ได้ อาทิ Call center พนักงานร้านสะดวกซื้อ พนักงานขายตามบริษัทต่างๆ เป็นต้น

 

ทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ได้หรือไม่

มันอาจจะทำใจยากที่จะยอมรับ แต่สำหรับการทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ ก็มีหลายบริษัทเหมือนกันที่จำเป็นต้องทำงานในลักษณะนี้ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งในยามที่มีแต่คนแย่งกันหางาน เช่นสถานการณ์ที่ไวรัสโควิดระบาดอยู่ตอนนี้ เชื่อว่าผู้สมัครหลายคนยอมรับเงื่อนไขนี้ได้ และถ้าหากคุณไม่ยอมรับก็เท่ากับตัดโอกาสตัวเองอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลส่วนตัวของคุณด้วย ถ้ามันติดจริงๆ จะรับปากไปก่อนว่าได้ แต่ทำงานจริงมีปัญหา แบบนั้นก็ไม่ OK 

 

ทำงานมากกว่า 1 อย่างได้หรือไม่

อาจจะมีหลายๆ บริษัท ที่ไม่ต้องการคนทำงานได้แค่อย่างเดียว ดังนั้นเงื่อนไขข้อนี้ คุณควรพิจารณาและยอมรับให้ได้ พยายามปรับตัวให้ได้ แม้จะไม่ถนัดในงานที่นอกเหนือจากงานหลักของตัวเอง เพราะนั่นคือข้อดีด้วยซ้ำไป ที่จะได้มีโอกาสทำในสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่เคยทำ

 

 

5.Friendly

 

มนุษยสัมพันธ์ที่ดี ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ดังนั้นพยายามสื่อสารให้ผู้สัมภาษณ์สัมผัสได้ถึงคุณสมบัตินี้ แม้บรรยากาศในการสัมภาษณ์อาจจะตึงเครียด เพราะผู้ร่วมงานทุกคน ล้วนอยากร่วมงานกับคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีดูเข้ากับคนง่าย และย่อมไม่อยากจะร่วมงานกับคนที่ดูมีกำแพงหรือไม่เป็นมิตร ทริคการสื่อถึงความ Friendly

 

ยิ้ม 

สีหน้าที่ดีที่สุดคือยิ้มเข้าไว้ ไม่ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดแค่ไหน แต่ขอให้คุณยิ้ม มันจะช่วยเสริมบุคลิกคุณเอง และเพิ่มโอกาสในการได้งานด้วย ผู้สัมภาษณ์จะประเมินว่าคุณเข้ากับคนง่าย รวมถึงผู้สัมภาษณ์เอง ทำให้สามารถปรับตัวให้เข้ากันได้ไม่ยาก 

 

ห้ามโกรธ

บางครั้งอาจเจอคำถามพิสดาร ทดสอบความอดทน ทดสอบวุฒิภาวะ และอื่นๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อย่าแสดงอาการโกรธหรือบึ้งตึงเด็ดขาด เพราะนั่นมันอาจจะเป็นบททดสอบตัวคุณเอง ซึ่งถ้าหากคุณแสดงอาการโกรธ คุณจะสอบตกทันที 

 

เปิดเผย

ในการสมัครงานระหว่างสัมภาษณ์อาจจะมีคำถามชวนพูดคุยโน่นนี่สารพัด คุณต้องพยายามวางตัวสบายๆ และเล่าอย่างเปิดเผย หากเจอคำถามที่ไม่สะดวกตอบ คุณอาจจะต้องมีไหวพริบในการเลี่ยงตอบคำถามที่ดูแล้วไม่เสียมารยาท อย่าแสดงออกว่าตัวเองมีขอบเขตที่จำกัด หรือโลกส่วนตัวสูง เพราะผู้สัมภาษณ์อาจจะรู้สึกเข้าไม่ถึงคุณ และเป็นการยากที่จะร่วมงานกัน

 

 

6.ทัศนคติสำคัญมาก 

 

มองบวกกับงาน

พยายามสื่อสารว่าตัวเองพึงพอใจในงานที่สมัคร อาจอธิบายว่าชอบทำอะไร ทำไมถึงชอบ หรือคิดเห็นอย่างไรกับงานนั้น และพยายามแสดงออกว่างานนั้นมันทำให้คุณมีความสุข อย่าบอกว่าทำเพียงเพราะว่าต้องทำ ข้อมูลส่วนนี้ถือเป็นอีกอย่างที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับการสมัครงาน

 

มองบวกกับที่ทำงาน

บางครั้งอาจเจอคำถามเกี่ยวกับทัศนคติต่อบริษัทที่คุณไปสมัคร และไม่ว่าที่นั่นจะเป็นองค์กรที่ใหญ่หรือเล็กแค่ไหน คุณต้องพูดถึงในทางที่ดี พยายามหาข้อดีของเขา และพูดออกมาอย่างจริงใจ และบางครั้งอาจเจอคำถามเปรียบเทียบบริษัทเก่าของคุณเองด้วย และสิ่งที่ห้ามพูดเด็ดขาดก็คือการพูดถึงบริษัทเก่าของคุณแบบเสียๆ หายๆ มิเช่นนั้นคะแนนของคุณจะติดลบทันที

 

มองบวกกับเพื่อนร่วมงาน

หากต้องพูดถึงเพื่อนร่วมงานหรือการทำงานร่วมกับคนอื่น ก็ต้องพูดในทางที่ดีเข้าไว้ แสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าเราสามารถทำงานร่วมกับใครก็ได้ และสามารถปรับตัวในดี แม้ในคนที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกัน พยายามแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจเพื่อนร่วมงาน เช่น ถ้าหากเคยมีเพื่อนร่วมงานเคยหงุดหงิดใส่คุณ สิ่งที่คุณต้องสื่อสารออกไป ไม่ใช่ต่อว่าว่าเขานิสัยไม่ดี แต่ต้องแสดงความคิดเห็นเชิงเข้าใจและเห็นใจ ว่า ณ ช่วงเวลานั้นเพื่อนร่วมงานอาจจะได้รับแรงกดดันมาก เป็นต้น

 

✅ อยากเปลี่ยนงาน 
✅ อยากเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
✅ อยากอัพเงินเดือน
✅ อยากทำงานบริษัทต่างชาติ 
✅ อยากทำงานบริษัทชั้นนำ 
✅ ต้องมีคะแนน IELTS อย่างน้อย 7.0 UP+

  • คอร์ส IELTS ครูเจี๊ยบติวจัดให้ครบทั้ง Listening/Reading/Writing/Speaking
  • ติวละเอียดรูปแบบข้อสอบทุกแบบที่ต้องเจอ ไม่ต้องเสียเวลางมเอง
  • เทคนิคการทำโจทย์แบบที่ต่างกันเช่น การทำโจทย์แบบ Yes/No/Not Given
  • วิธีเก็งคำตอบ และ pattern ในการเขียน และพูด
  • ตรวจ แนะนำงานเขียน (จากในคอร์ส) ฟรี!
  • ครูเจี๊ยบมีประสบการณ์ติว IELTS มายาวนานกว่า 20 ปี
  •  

    ทดลองติว IELTS 4 skills กับครูเจี๊ยบ FREE! (คลิกเลย)

     

    สอบถามคอร์สเรียนและโปรโมชั่น

    โทร : 098-281-3164




โดย Wowprae.m
สินค้าที่เกี่ยวข้อง