Grammar Go! คลัง KD's Tips เทคนิคเสริมจากครูดิว!

Grammar Go! คลัง KD's Tips เทคนิคเสริมจากครูดิว!

หนังสือ Grammar Go! สรุปครบ จบทุกสถานการณ์ นอกจากจะรวบรวมเนื้อหาแกรมมาร์พื้นฐานทั้งหมด แบบฝึกหัดท้ายบท พร้อมสอดแทรก conversation หรือบทสนทนาตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่นำแกรมมาร์ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าสนใจแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังรวบรวม KD's Tips หรือเทคนิคเสริมจากครูดิวในเล่มด้วย! ซึ่ง KD's Tips หรือเทคนิคที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย!

คลัง KD's Tips เทคนิคเสริมจากครูดิวใน Grammar Go!

 

Chapter 1 : Part of Speech

Chapter 2 : Determiner
Chapter 3 : Tense

Chapter 4 : Sentence Structure
Chapter 5 : Question
Chapter 6 : Negative Sentence
Chapter 7 : Imperative Sentence
Chapter 8 : Subject-Verb Agreement
Chapter 9 : Subjunctive Sentence
Chapter 10 : Reported Speech
Chapter 11 : Relative Clause
Chapter 12 : Participles
Chapter 13 : Active-Passive Voice
Chapter 14 : Comparison
Chapter 15 : If-Clause

 

-----------------------------------------------------------------------

 
Chapter 1 : Part of Speech

 


Noun
 


กลอน ยาย -tion (Noun Suffix)

ยาย -tion ปากหอม
ยาย -dom ปาก -ment
ยาย -ship หมากกระ -dence
โดน -sis เตอร์เพ็ญ 
กระเด็นไปเลย

 

ตัวอย่างศัพท์จากครูดิว

freedom = ความเป็นอิสระ
entertainment = ความบันเทิง
investment = การลงทุน
friendship = มิตรภาพ
relationship = ความสัมพันธ์
difference = ความแตกต่าง
analysis = การวิเคราะห์ 

 

 


Verb
 


กลอน Verb Suffix

ฉัน มี -ize เย็น ๆ 
แต่อยากกิน -en ไก่
เลยโดนด่า ว่า -ify
โดน as -sign ไปทำนา

 

ตัวอย่างศัพท์จากครูดิว

organize = จัดตั้ง
realize = ตระหนัก
whiten = ทำให้ขาวขึ้น
shorten = ตัด / ทำให้สั้นลง
identify = ระบุ
notify = แจ้ง, บอกให้ทราบ
design = ออกแบบ
assign = มอบหมายงาน

 

 


Adjective
 


กลอน Adjective Suffix

ทีวี digital possible เป็นไปได้
dangerous อันตราย 
สวยสดใส beautiful
careless คือประมาท
แปลกประหลาด fantastic 
งี่เง่า คือ foolish มีหัวคิด creative

 

 


Adverb of Manner
 


เพลง หน้าที่ Adverb

Adverb

1. ขยาย Verb
2. ขยาย Adjective
3. ขยาย Adverb ด้วยกันเอง

 

คำอธิบายเพิ่มเติม

นอกจาก Adv. จะขยาย V. แล้ว
ยังขยาย Adj. ด้วยการวางไว้หน้า Adj. ด้วย
และถ้ามีคำที่ลงท้ายด้วย -ly ติดกันสองคำ แสดงว่า Adv. ขยายกันเอง

 

 


Adverb of Place
 


เทคนิคสังเกต Adverb of Place

1. Adverb of Place มักจะอยู่ต่อจากคำกริยา (Verb) และอยู่คำสุดท้ายของประโยค

เช่น I live here. ในที่นี้ Adverb of Place ก็คือคำว่า here นั่นเอง
หรือ He goes there. / He went there. เขาไปที่นั่น ก็ด้วย
รวมถึง at the hospital หรือ at school ก็เช่นกัน แม้จะเป็นสองคำก็ตาม
เช่นประโยค I’m at school. หรือ I want to go to school

 

2. คำที่ลงท้ายด้วย -wards ส่วนใหญ่เป็น Adverb of Place 

เช่น      forward (ล่วงหน้า, นำหน้าไปก่อน)
            backward (ย้อนกลับ, ไปข้างหลัง) 
            downward (ลงข้างล่าง, ลงต่ำ)
            upward (ขึ้นบน)
            ยกเว้นคำว่า toward (ไปต่อ, ไปทาง) ที่จะเป็น Prepo. 

             *คำที่ลงท้ายด้วย -ward ถ้ามี -s ต่อท้ายแบบที่ครูดิวพูดคือศัพท์แบบอังกฤษ 
             แต่ถ้าไม่มี -s ต่อท้ายจะเป็นศัพท์แบบอเมริกัน หรือแบบที่เจอในข้อสอบ TOEIC บ่อย ๆ นั่นเอง

 

 


Adverb of Time
 


ถ้ามี Adverb of Time ในประโยคหลายตัว ทำยังไง?

ในกรณีที่มี Adverb of Time ในประโยคหลายตัว ให้เรียงลำดับตามนี้เลย!
 

        1                       2                         3                         4

time (เวลา) → day (วัน) → month (เดือน) → year (ปี)                      

ตัวอย่าง

                               1                      2                         3        4

I had a class at 10 a.m. every Wednesday in May 2021.
(ฉันมีเรียนตอน 10 โมงเช้าทุกวันพุธของเดือนพฤษภาคมปี 2021)

 

 


Adverb of Frequency
 


กลอน ความถี่

always, usually, frequently, regularly
ทั้งหมดแปลว่าถี่ เกิดขึ้นทุกที เสมอ ๆ
often, generally, normally บ่อย ๆ นะเธอ
sometimes บางครั้งเผลอ คิดถึงเธอ occasionally

 

เพลง สวัสดี แทบไม่มีเงิน

สวัสดี แทบไม่มี เงินใช้
hardly rarely seldom
อย่าทวง ตอนนี้ยังไม่พร้อม
scarcely barely never ยอม

 

 


Adverb of Degree
 


ถ้ามี Adverb ในประโยคหลายตัว ทำยังไง?

ในกรณีที่มี Adverb ในประโยคหลายตัว ให้เรียงลำดับตามนี้เลย!

 

           1                                        2                                  3                                  4                             5

Adv. of Frequency → Adv. of Degree → Adv. of Manner → Adv. of Place → Adv. of Time

 

ตัวอย่าง

            1                   2        3            4                  5

He always runs very quickly outside in the morning.
(เขามักจะออกไปวิ่งอย่างรวดเร็วมากข้างนอกในตอนเช้า)

 

 


Pronoun
 


กลอน Pronoun
he, she หน้าที่ประธาน
him, her เป็นกรรม ตามหลังกริยา
his, her บวก Noun ทุกเวลา
เห็น by อยู่หน้า กา -self ทันที

 

 


Preposition
 


เพลง in, on, at
  

เพลง in

in เดือน, in ปี                                       เช่น January, 1998, 2000 
in taxi, city, in car                               รถขนาดเล็ก ชื่อเมืองทั้งหลาย
in boat, in China                                เรือขนาดเล็ก ยืนไม่ได้ ประเทศต่าง ๆ 
in Africa, in the afternoon                  ทวีปทั่วโลก เช้า สาย บ่าย เย็น ใช้ in หมด

----------------------------------

เพลง on

on day, on time                                  เช่น Monday หรือวันต่าง ๆ on time แปลว่าตรงเวลา
ตามตาราง เดินทาง on plane                ยานพาหนะขนาดใหญ่ เดินได้ ใช้ on
on ship, on train                                 ถนนทุกที่บนโลกใช้ on หมด เช่น Sathorn Road
ถนนทุกเลนก็ยังใช้ on

----------------------------------

เพลง at 

at work, at night                                 เช่น ที่ทำงาน ส่วน at night แปลว่าตอนกลางคืน
at the time, at the top                         at the time เป็นสำนวน แปลว่า ตอนกี่โมง อยู่บนสุด
at school, bus, stop                            สถานที่ หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ
at o'clock, at office                             เวลา สิ่งปลูกสร้าง 

ตัวอักษรสีฟ้า = Preposition of Time    
ตัวอักษรสีแดง = Preposition of Place

 

 


Conjunction
 


เพลง Conjunction ตัวเลือก 12 ตัว

ตัวเชื่อมนั้นมี ร้อยแปด
because, since, as, now that เพราะว่า
after, before ก็มา
if แปลว่า ถ้า
เผื่อว่า in case
whether แปลว่า หรือไม่
โดยมีเงื่อนไข คือ provided
ถ้าไม่ นั่นคือ unless
ท่องให้สำเร็จ in case ออกสอบ

 

เพลง ลอยตัวเชื่อม (นอกจากนั้น / ดังนั้น)

วันเพ็ญ นอกจากนั้น in addition, furthermore
ถ้ายังไม่พอ moreover, additionally, besides

ดัง ดัง นั้น there, therefore
as a consequence 
as a result, consequently

thus, hence thus, hence
thus, hence thus, hence
thus, hence thus, hence

for this reason, accordingly
และทุกคำนี้ คือ Adverb

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 2 : Determiner
 


เพลง a an every
a an every นับกี่ที
คือ นัมเบอร์ one 
this นี้ that นั้น
บวกอีกอัน คือ another

คำพวกนี้ตามด้วยคำนามเอกพจน์ ไม่เติม -s

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 3 : Tense

 

 


Present Simple


หลักการเติม -s, -es หลัง V.

  • V. ทั่วไป เติม -s ได้เลย เช่น
    play → plays               run → runs
     
  • V. ที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z, o ให้เติม -es ต่อท้าย
    watch → watches       go → goes
     
  • V. ที่ลงท้ายด้วย y 
      -  หน้า y เป็นสระ เติม -s ได้เลย เช่น
         buy → buys           say → says
      -  หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -es เช่น
          cry → cries           fly → flies

 

 


Present Continuous
 


หลักการเติม -ing

  • V. ทั่วไป เติม -ing ต่อท้ายได้เลย เช่น 
    walk → walking             eat → eating
     
  • V. ที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เบิ้ลตัวสะกดตัวสุดท้าย แล้วค่อยเติม -ing เช่น 
    sit → sitting                   nap → napping
     
  • V. ที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้ง แล้วค่อยเติม -ing เช่น 
    write → writing              bake → baking
     
  • V. ที่ลงท้ายด้วย ee ไม่ต้องตัด ee ทิ้ง เติม -ing ต่อท้ายได้เลย เช่น
    see → seeing                flee → fleeing
     
  • V. ที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม -ing เช่น
    lie → lying                     die → dying

 

 


Present Perfect 


กลอน Present Perfect

Present Perfect ทำแต่เด็กจนถึงตอนนี้
has / have + V.3
เจอกี่ที มักมี since / for

 

 


Present Perfect Continuous


เพลง Present Tense

Present Simp.            S + V.1
                                    เกิดทุกวัน เกิดประจำ
Present Cont.            คือ กำลังทำ
                                    
is am are + V.ing
Present Perfect         ทำเสร็จแล้ว ทำนานแล้ว
                                    has have + V.3
Present Per Cont.      เกิดตลอดปี
                                    have been + V.ing
 

ทั้งนี้ Present Per Cont. ใช้ได้ทั้ง has been และ have been + V.ing เลยนะ
แต่ที่ในกลอนร้องแค่ have อย่างเดียวก็เพื่อความกระชับของเพลงเฉย ๆ ค่ะ

 

 


Past Simple


รู้ไหม V.2 ไม่ได้เติม -ed เสมอไป!

V.2 ที่เปลี่ยนรูปไปเลย เช่น
do →  did       see → saw
go → went     sing → sang

V.2 ที่ยังคงรูปเดิม เช่น
put → put      cut → cut
hit → hit        quit → quit

 

 


Past Continuous


ลองดูซิ ข้อไหนตอบ Past Continuous

  1. James went (go) to school yesterday.
  2. Mary was studying (study) for exams at 7 p.m. yesterday.

 

 


Past Perfect


กลอน have / has / had

เห็น have / has / had
แล้วบวกช่องว่าง 
ให้กาช่องสาม
ตามหลังทันที

 

 


Past Perfect Continuous


Past Perfect VS. Past Perfect Continuous

ทั้ง Past Perfect และ Past Perfect Continuous สามารถใช้แทนกันได้ในบางครั้ง แต่ต่างกันตรงที่
Past Perfect Continuous จะเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์หรือการกระทำมากกว่า Past Perfect

ตัวอย่าง

   S    had     V.3        
She had worked for 5 hours before her parents arrived. (Past Perfect)
(หล่อนทำงานมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงก่อนที่พ่อแม่ของหล่อนจะมาถึง)


  S     had   been     V.ing
She had been working for 5 hours before her parents arrived. (Past Perfect Continuous)
(หล่อนทำงานมา

อย่างต่อเนื่อง] เป็นเวลา 5 ชั่วโมงก่อนที่พ่อแม่ของหล่อนจะมาถึง)

 

จะเห็นได้ว่าทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกัน คือ หล่อนทำงานมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงก่อนที่พ่อแม่ของหล่อนจะมาถึง
แต่ประโยคที่สอง (Past Perfect Continuous) นั้นแค่ต้องการจะเน้นว่าหล่อนทำงานมาอย่างต่อเนื่องจริง ๆ เป็นเวลา 5 ชั่วโมง
ไม่ได้หยุดพักเลยนั่นเอง

 

 


Future Simple


Will VS. Be going to

นอกจาก will แล้ว เรายังสามารถใช้ be going to (S + is/am/are + going to +V.1) ในการพูดถึง 
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่ be going to นั้นมีความหมายว่า
“กำลังจะ” ซึ่งจะมีความแน่นอนมากกว่า will และมักใช้กับเหตุการณ์ที่วางแผนไว้แล้วล่วงหน้า หรือมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นแน่ ๆ 

ตัวอย่าง         Elena is going to meet her friends this evening.
                      (เอเลน่ากำลังจะไปพบเพื่อนของหล่อนเย็นนี้

แน่ ๆ])

                      Elena will meet her friends this evening.
                      (เอเลน่าจะไปพบเพื่อนของหล่อนเย็นนี้

แต่อาจจะไม่ไปก็ได้])

 

 


Future Continuous


Future Simple VS. Future Continuous

สงสัยไหมว่า Future Simple กับ Future Continuous ต่างกันอย่างไร เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกัน

        S  will    V.1

ตัวอย่าง        I will wash my car tomorrow morning. (Future Simple)
                     (ฉันจะล้างรถพรุ่งนี้เช้า)

                        S  will   be   V.ing
                      
  I will be washing my car tomorrow morning. (Future Continuous)
                     (ฉันจะกำลังล้างรถอยู่พรุ่งนี้เช้า)

ทั้งสองประโยคมีความหมายคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ประโยคที่สอง (Future Continuous)
จะให้ความรู้สึกที่เห็นภาพมากกว่าว่าพรุ่งนี้เช้าฉันจะกำลังล้างรถอยู่

 

 


Future Perfect


ลองดูซิ ประโยคนี้ตอบ Tense อะไร

The train __________ by the time we arrive at the station.

  1. will leave
  2. will have left

 

 


Future Perfect Continuous


Future Perfect VS. Future Perfect Continuous

ทั้ง Future Perfect และ Future Perfect Continuous เป็น Tense ที่เจ้าของภาษาไม่นิยมใช้ โดยเฉพาะในภาษาพูด
แต่อย่างไรก็ตาม เราควรรู้ข้อแตกต่างของทั้ง 2 Tenses นี้ไว้ เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกัน

           S  will   have      V.3

ตัวอย่าง         I will have finished my job by 7 p.m. tomorrow. (Future Perfect)
                      (ฉันจะทำงานของฉันเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ตอน 1 ทุ่ม)
 

           S  will   have   been    V.ing
          I will have been working for 8 hours by 7 p.m. (Future Perfect Continuous)
          (ฉันจะทำงาน

อย่างต่อเนื่อง] มาเป็นเวลา 8 ชั่วโมงตอน 1 ทุ่ม)
 

ทั้งสองประโยคนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ประโยคแรก (Future Perfect) จะมีความหมายว่า ทำบางสิ่งบางอย่างเสร็จ
ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต แต่ประโยคที่สอง (Future Perfect Continuous) จะมีความหมายว่า ทำบางสิ่งบางอย่าง
มาเป็นระยะเวลานานเท่าไรเมื่อถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต และเหตุการณ์นั้นยังไม่จบ มีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต


 

 

สั่งซื้อทาง Shopee

สั่งซื้อทาง Facebook

 

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 4 : Sentence Structure
 


ประโยค simple อีก 2 แบบที่เหลือ!

1. ประโยค Subject Complement (S + V + SC) 

  • Subject Complement (SC) คือ ส่วนที่ขยายประธาน
  • ช่วยบอกว่าประธานเป็นอะไร หรือมีลักษณะอย่างไร
  • ถ้าไม่มีส่วนนี้ไม่ได้เพราะจะทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์ อ่านไม่รู้เรื่อง
  • ส่วนที่ขยายประธานจะเป็น Noun หรือ Adjective ก็ได้
  • โดยมักอยู่หลัง V. to be หรือ linking Verb (LV) เช่น

    S V. to be  SC (N) 
  • I am a teacher.
    ฉันเป็นครู


    S V. to be  SC (Adj)    S  LV    SC (Adj) 
  • I am beautiful. หรือ I look beautiful.
    ฉันสวย

       
    S   V. to be        SC (N) 
  • Russia is the largest country.
    รัสเซียคือประเทศที่ใหญ่ที่สุด

 

2. ประโยค Object Complement (S + V + O + OC)

  • Object Complement (OC) คือ ส่วนที่ขยายกรรม
  • ขาดส่วนที่ขยายกรรมไม่ได้เพราะจะอ่านไม่รู้เรื่อง
  • โดยส่วนที่ขยายกรรมนี้ จะเป็น Noun หรือ Adjective ก็ได้
  • และจะอยู่หลัง object (O) หรือกรรม เพื่อบอกว่ากรรมนั้น ๆ มีลักษณะอย่างไร เช่น

       
    S        V       O   OC (Adj) 
  • They made her happy.
    พวกเขาทำให้หล่อนมีความสุข

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 5 : Question
 


กลอน V. to do

do / does / did
เขียนติดบวก V. ไม่ผัน
do you + V.1
ใช้ถามและปฏิเสธ

 

กลอน Verb ช่วย

Do + one
Have + done
Be + ing

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 6 : Negative Sentence
 


สรุปเทคนิคการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นคำถาม และปฏิเสธ

วิธีเปลี่ยนประโยค ทำได้ด้วยการสังเกต V. ช่วย

  • ถ้าประโยคมี V. ช่วย เช่น V. to be ---> ใช้  V. to be 
    เช่น    He is a doctor.      >      Is he a doctor?               >      He isn’t a doctor.
              เขาเป็นหมอ                   เขาเป็นหมอหรือเปล่า                เขาไม่ได้เป็นหมอ

     
  • ถ้าประโยคไม่มี V. ช่วย มีแต่ V. ปกติ ---> ใช้ V. to do (do, does, did)
    เช่น    He wants a car.    >      Does he want a car?      >      He doesn’t want a car.
              เขาอยากได้รถ               เขาอยากได้รถหรือเปล่า             เขาไม่อยากได้รถ


ตัวอย่าง

  1. Present Simple Tense
  • ประโยคบอกเล่า      I want to go to the Opera House.
  • ประโยคคำถาม        Do you want to go to the Opera House?
  • ประโยคปฏิเสธ        I don’t want to go to the Opera House.
     
  1. Present Continuous Tense
  • ประโยคบอกเล่า      I’m going to the Opera House.
  • ประโยคคำถาม        Are you going to the Opera House?
  • ประโยคปฏิเสธ        I’m not going to the Opera House.

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 7 : Imperative Sentence
 


Imperative Sentence กับ Do

ถ้าต้องการให้ Imperative Sentence มีความสุภาพยิ่งขึ้น หรือต้องการเน้นย้ำสิ่งที่เราจะพูด
เราสามารถเติม do ไว้ข้างหน้า V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) ได้เช่นกัน 

ตัวอย่าง         Do come in. (เข้ามาข้างในได้เลย)
                     Do have a seat. (นั่งได้เลยนะ)
                     Do take your shoes off. (ถอดรองเท้าหน่อยนะ)

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 8 : Subject-Verb Agreement
 


กลอน Subject-Verb Agreement

ประธาน ไม่เติม -s     อ๊ะ      V. เติม -s
ประธาน เติม -s         อ๊ะ      V. ไม่เติม -s

 

กลอน every- some- no- any-

every- some- no- any-
สี่คำนี้ บวกได้สามอย่าง
ได้แก่ -body -thing -one
เขียนติดกัน Verb ผันเอกพจน์

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 9 : Subjunctive Sentence
 


กลอน เสนอแนะ + that

suggest request demand
มักต้องตามด้วย that ลงท้าย
recommend propose require
มักลงท้ายด้วย that รู้มั้ย

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 10 : Reported Speech
 


กลอน Say Speak Talk Tell

say that แปลว่า พูดว่า
ภาษาต้อง speak English
พูดคุย talk to talk with
บอกความคิด tell me about

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 11 : Relative Clause
 



เทคนิคการสร้างประโยค Relative Clause

Relative Clause คือ ประโยคขยายคำนาม สามารถเอาสองประโยคมารวมกันได้
ถ้าประโยคนั้นเกี่ยวข้องกัน และใช้คำนามร่วมกัน เช่น

                I’d like to reserve the room. (ฉันอยากจองห้องนี้)
                The room is modern. (ห้องนี้ทันสมัย) 

วิธีรวมประโยค

  • ดึงประโยคหลักขึ้นก่อน > I’d like to reserve the room. 
  • ดึงคำนามร่วมไว้คำสุดท้ายของประโยค > I’d like to reserve the room
  • เติม Relative Pronoun ที่ถูกต้องต่อท้าย > I’d like to reserve the room that...
  • เติม V. หลัง Relative Pronoun > I’d like to reserve the room that is... 
  • นำประโยคที่เหลือมาต่อท้าย โดยไม่ต้องเติมคำนามร่วมอีกคำ > I’d like to reserve the room that is modern.

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 12 : Participles

กลอน Participles

-ing = ทำเอง
-ed = ถูกทำ   

เมื่อเห็น V.ing หรือ V.ed (V.3) มาเดี่ยว ๆ มักจะขยายคำนาม ซึ่งวางไว้ไม่ข้างหน้า ก็ข้างหลังคำนามนั้น

                        V.ing
เช่น         The running man (ผู้ชายที่กำลังวิ่งอยู่)
                   
      V.3
               The broken glass (แก้วที่ถูกทำให้แตก)

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 13 : Active-Passive Voice
 

กลอน Passive

Passive แปลว่า ถูกทำ
be + ช่องสาม
by ตามเสมอ

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 14 : Comparison
 

กลอน as _____ as

as _____ as 
แปลว่าเท่ากัน
ต้องมีสองคำ
หน้าหลังเสมอ

 

กลอน ขั้นกว่า

ขั้นกว่าฉันขอ เติม more หรือ -er
อ๊ะ ที่สุดคือเธอ เติม most หรือ -est
บางคำผันไม่ตรง เช่น better แอนด์ best
จะ -er หรือ -est รู้สูตรเด็ดสำเร็จแน่นอน

 

-----------------------------------------------------------------------

 

Chapter 15 : If-Clause

 


If-Clause Type 0
 


อย่างที่รู้กันว่า If-clause type 0 (S + V.1, S + V.1) จะพูดถึงเรื่องที่เป็นปกติ หรือเป็นความจริงเสมอ
แล้วถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริงบ้าง

เรื่องจริงสำหรับ If-clause type 0 มีดังนี้

  • เรื่องที่เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ เช่น โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
  • เป็นความจริงทั่วไป เช่น ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงกับเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง
  • ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเวลาไหน ก็จะเป็นความจริงเช่นนั้นเสมอ เช่น โลกมีแรงโน้มถ่วงทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต

 

 

If-Clause Type 1
 


กลอน If-clause (type 1-3)

V. 1            ,     will do (type 1)
V. 2            ,     would see (type 2)
had V.3      ,     would have V.3 (type 3)

 

If-clause type 1

เช่น     If you come, we will go.
          (ถ้าคุณมา พวกเราจะไป)

 

 

If-Clause Type 2
 


กลอน If-clause (type 1-3)

V. 1            ,     will do (type 1)
V. 2            ,     would see (type 2)
had V.3      ,     would have V.3 (type 3)

 

การสลับประโยค If-clause type 2

ส่วนใหญ่คนมักใช้ If_______, _______. อย่าง If V.2, would V.1.
แต่จริง ๆ สามารถสลับโครงสร้างได้ เช่น

  • ประโยคปกติ

     If    V.2                          ,    would  be (V.1)
    If I had some money, I would be happy.
     
  • ประโยคที่สลับโครงสร้าง

       would  be (V.1)      if     V.2 
    I would be happy if I had some money.

     
  • สังเกตว่า เมื่อสลับโครงสร้างแล้ว จะไม่มี comma (,) กลางประโยค 
  • และประโยคทั้งซ้ายและขวา if จะสลับกัน

 

 

If-Clause Type 3
 


กลอน If-clause (type 1-3)

V. 1            ,     will do (type 1)
V. 2            ,     would see (type 2)
had V.3      ,     would have V.3 (type 3)

 

ตอบข้อไหน ตอบได้หรือเปล่า

  1. If you had studied harder, you _______ the exam.

A. pass 
B. will pass
C. would pass
D. would have passed

 

  1. She would have bought the new book if she _______ enough money.

A. would have 
B. had had
C. has
D. will have

 

 

สั่งซื้อทาง Shopee

สั่งซื้อทาง Facebook

 

แต่ถ้าอยากติวคอร์ส KruDew ติว TOEIC มีให้ครบทุกอย่าง! 

ติว TOEIC ครูดิว พร้อมลองทำข้อสอบเหมือนจริง

 

ติว TOEIC กับครูดิว ดียังไง?

  • คอร์สติว TOEIC ของครูดิวนั้น เรียน Online
  • แบ่งบทเรียนชัดเจน เรียนง่ายไม่งง คลิ๊กเลือกบทเรียนที่ต้องการได้ทันที
  • สามารถหยุด, เล่นซ้ำบทเรียนที่ต้องการได้แบบไม่อั้น! (ตลอดระยะเวลาคอร์ส)
  • อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ใหม่ล่าสุด! ครบชุด!
  • มีไฟล์ E-Book (PDF) ประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลด (และมีหนังสือเรียนเป็นเล่มส่งให้ถึงบ้าน)
  • เรียนเวลาไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ แค่มี Internet
  • หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบทเรียน สามารถส่งคำถามหาทีมงานได้
  • การันตีคะแนน 750+ (หากสอบแล้วไม่ถึง สามารถแจ้งทวนคอร์สได้ฟรี!)

 

ถ้ายังไม่แน่ใจ? ทดลองติวฟรีก่อนได้ที่ >>> คอร์ส KruDew TOEIC 

 

TOEIC® and TOEFL® are registered trademarks of Educational Testing Service (ETS). This product is not endorsed or approved by ETS.

รายละเอียดการใช้งานคุกกี้

เพื่อประโยชน์และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของ บริษัท โอเพ่นดูเรียน จํากัด (“โอเพ่นดูเรียน”) โอเพ่นดูเรียนจึงใช้คุกกี้บนเว็บไซต์ของบริษัท ทั้งนี้ คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับนโยบายคุกกี้ของโอเพ่นดูเรียนได้ที่ นโยบายคุกกี้ และคุณสามารถปฏิเสธคุกกี้ได้