Grammar Go! คลัง KD's Tips เทคนิคเสริมจากครูดิว!
คลัง KD's Tips เทคนิคเสริมจากครูดิวใน Grammar Go!
- Click ฟัง Noun
- Click ฟัง Verb
- Click ฟัง Adjective
- Click ฟัง Adverb of Manner
- Click ฟัง Adverb of Place
- Click ฟัง Adverb of Time
- Click ฟัง Adverb of Frequency
- Click ฟัง Adverb of Degree
- Click ฟัง Pronoun
- Click ฟัง Preposition
- Click ฟัง Conjunction
Chapter 2 : Determiner
Chapter 3 : Tense
- Click ฟัง Present Simple
- Click ฟัง Present Continuous
- Click ฟัง Present Perfect
- Click ฟัง Present Perfect Continuous
- Click ฟัง Past Simple
- Click ฟัง Past Continuous
- Click ฟัง Past Perfect
- Click ฟัง Past Perfect Continuous
- Click ฟัง Future Simple
- Click ฟัง Future Continuous
- Click ฟัง Future Perfect
- Click ฟัง Future Perfect Continuous
Chapter 4 : Sentence Structure
Chapter 5 : Question
Chapter 6 : Negative Sentence
Chapter 7 : Imperative Sentence
Chapter 8 : Subject-Verb Agreement
Chapter 9 : Subjunctive Sentence
Chapter 10 : Reported Speech
Chapter 11 : Relative Clause
Chapter 12 : Participles
Chapter 13 : Active-Passive Voice
Chapter 14 : Comparison
Chapter 15 : If-Clause
- Click ฟัง If-Clause Type 0
- Click ฟัง If-Clause Type 1
- Click ฟัง If-Clause Type 2
- Click ฟัง If-Clause Type 3
-----------------------------------------------------------------------
Noun
กลอน ยาย -tion (Noun Suffix)
ยาย -tion ปากหอม
ยาย -dom ปาก -ment
ยาย -ship หมากกระ -dence
โดน -sis เตอร์เพ็ญ
กระเด็นไปเลย
ตัวอย่างศัพท์จากครูดิว
freedom = ความเป็นอิสระ
entertainment = ความบันเทิง
investment = การลงทุน
friendship = มิตรภาพ
relationship = ความสัมพันธ์
difference = ความแตกต่าง
analysis = การวิเคราะห์
Verb
กลอน Verb Suffix
ฉัน มี -ize เย็น ๆ
แต่อยากกิน -en ไก่
เลยโดนด่า ว่า -ify
โดน as -sign ไปทำนา
ตัวอย่างศัพท์จากครูดิว
organize = จัดตั้ง
realize = ตระหนัก
whiten = ทำให้ขาวขึ้น
shorten = ตัด / ทำให้สั้นลง
identify = ระบุ
notify = แจ้ง, บอกให้ทราบ
design = ออกแบบ
assign = มอบหมายงาน
Adjective
กลอน Adjective Suffix
ทีวี digital possible เป็นไปได้
dangerous อันตราย
สวยสดใส beautiful
careless คือประมาท
แปลกประหลาด fantastic
งี่เง่า คือ foolish มีหัวคิด creative
Adverb of Manner
เพลง หน้าที่ Adverb
Adverb
1. ขยาย Verb
2. ขยาย Adjective
3. ขยาย Adverb ด้วยกันเอง
คำอธิบายเพิ่มเติม
นอกจาก Adv. จะขยาย V. แล้ว
ยังขยาย Adj. ด้วยการวางไว้หน้า Adj. ด้วย
และถ้ามีคำที่ลงท้ายด้วย -ly ติดกันสองคำ แสดงว่า Adv. ขยายกันเอง
Adverb of Place
เทคนิคสังเกต Adverb of Place
1. Adverb of Place มักจะอยู่ต่อจากคำกริยา (Verb) และอยู่คำสุดท้ายของประโยค
เช่น I live here. ในที่นี้ Adverb of Place ก็คือคำว่า here นั่นเอง
หรือ He goes there. / He went there. เขาไปที่นั่น ก็ด้วย
รวมถึง at the hospital หรือ at school ก็เช่นกัน แม้จะเป็นสองคำก็ตาม
เช่นประโยค I’m at school. หรือ I want to go to school.
2. คำที่ลงท้ายด้วย -wards ส่วนใหญ่เป็น Adverb of Place
เช่น forward (ล่วงหน้า, นำหน้าไปก่อน)
backward (ย้อนกลับ, ไปข้างหลัง)
downward (ลงข้างล่าง, ลงต่ำ)
upward (ขึ้นบน)
ยกเว้นคำว่า toward (ไปต่อ, ไปทาง) ที่จะเป็น Prepo.
*คำที่ลงท้ายด้วย -ward ถ้ามี -s ต่อท้ายแบบที่ครูดิวพูดคือศัพท์แบบอังกฤษ
แต่ถ้าไม่มี -s ต่อท้ายจะเป็นศัพท์แบบอเมริกัน หรือแบบที่เจอในข้อสอบ TOEIC บ่อย ๆ นั่นเอง
Adverb of Time
ถ้ามี Adverb of Time ในประโยคหลายตัว ทำยังไง?
ในกรณีที่มี Adverb of Time ในประโยคหลายตัว ให้เรียงลำดับตามนี้เลย!
1 2 3 4
time (เวลา) → day (วัน) → month (เดือน) → year (ปี)
ตัวอย่าง
1 2 3 4
I had a class at 10 a.m. every Wednesday in May 2021.
(ฉันมีเรียนตอน 10 โมงเช้าทุกวันพุธของเดือนพฤษภาคมปี 2021)
Adverb of Frequency
กลอน ความถี่
always, usually, frequently, regularly
ทั้งหมดแปลว่าถี่ เกิดขึ้นทุกที เสมอ ๆ
often, generally, normally บ่อย ๆ นะเธอ
sometimes บางครั้งเผลอ คิดถึงเธอ occasionally
เพลง สวัสดี แทบไม่มีเงิน
สวัสดี แทบไม่มี เงินใช้
hardly rarely seldom
อย่าทวง ตอนนี้ยังไม่พร้อม
scarcely barely never ยอม
Adverb of Degree
ถ้ามี Adverb ในประโยคหลายตัว ทำยังไง?
ในกรณีที่มี Adverb ในประโยคหลายตัว ให้เรียงลำดับตามนี้เลย!
1 2 3 4 5
Adv. of Frequency → Adv. of Degree → Adv. of Manner → Adv. of Place → Adv. of Time
ตัวอย่าง
1 2 3 4 5
He always runs very quickly outside in the morning.
(เขามักจะออกไปวิ่งอย่างรวดเร็วมากข้างนอกในตอนเช้า)
Pronoun
กลอน Pronoun
he, she หน้าที่ประธาน
him, her เป็นกรรม ตามหลังกริยา
his, her บวก Noun ทุกเวลา
เห็น by อยู่หน้า กา -self ทันที
Preposition
เพลง in, on, at
เพลง in
in เดือน, in ปี เช่น January, 1998, 2000
in taxi, city, in car รถขนาดเล็ก ชื่อเมืองทั้งหลาย
in boat, in China เรือขนาดเล็ก ยืนไม่ได้ ประเทศต่าง ๆ
in Africa, in the afternoon ทวีปทั่วโลก เช้า สาย บ่าย เย็น ใช้ in หมด
----------------------------------
เพลง on
on day, on time เช่น Monday หรือวันต่าง ๆ on time แปลว่าตรงเวลา
ตามตาราง เดินทาง on plane ยานพาหนะขนาดใหญ่ เดินได้ ใช้ on
on ship, on train ถนนทุกที่บนโลกใช้ on หมด เช่น Sathorn Road
ถนนทุกเลนก็ยังใช้ on
----------------------------------
เพลง at
at work, at night เช่น ที่ทำงาน ส่วน at night แปลว่าตอนกลางคืน
at the time, at the top at the time เป็นสำนวน แปลว่า ตอนกี่โมง อยู่บนสุด
at school, bus, stop สถานที่ หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ
at o'clock, at office เวลา สิ่งปลูกสร้าง
ตัวอักษรสีฟ้า = Preposition of Time
ตัวอักษรสีแดง = Preposition of Place
Conjunction
เพลง Conjunction ตัวเลือก 12 ตัว
ตัวเชื่อมนั้นมี ร้อยแปด
because, since, as, now that เพราะว่า
after, before ก็มา
if แปลว่า ถ้า
เผื่อว่า in case
whether แปลว่า หรือไม่
โดยมีเงื่อนไข คือ provided
ถ้าไม่ นั่นคือ unless
ท่องให้สำเร็จ in case ออกสอบ
เพลง ลอยตัวเชื่อม (นอกจากนั้น / ดังนั้น)
วันเพ็ญ นอกจากนั้น in addition, furthermore
ถ้ายังไม่พอ moreover, additionally, besides
ดัง ดัง นั้น there, therefore
as a consequence
as a result, consequently
thus, hence thus, hence
thus, hence thus, hence
thus, hence thus, hence
for this reason, accordingly
และทุกคำนี้ คือ Adverb
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 2 : Determiner
เพลง a an every
a an every นับกี่ที
คือ นัมเบอร์ one
this นี้ that นั้น
บวกอีกอัน คือ another
คำพวกนี้ตามด้วยคำนามเอกพจน์ ไม่เติม -s
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 3 : Tense
Present Simple
หลักการเติม -s, -es หลัง V.
- V. ทั่วไป เติม -s ได้เลย เช่น
play → plays run → runs
- V. ที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z, o ให้เติม -es ต่อท้าย
watch → watches go → goes
- V. ที่ลงท้ายด้วย y
- หน้า y เป็นสระ เติม -s ได้เลย เช่น
buy → buys say → says
- หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -es เช่น
cry → cries fly → flies
Present Continuous
หลักการเติม -ing
- V. ทั่วไป เติม -ing ต่อท้ายได้เลย เช่น
walk → walking eat → eating
- V. ที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เบิ้ลตัวสะกดตัวสุดท้าย แล้วค่อยเติม -ing เช่น
sit → sitting nap → napping
- V. ที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้ง แล้วค่อยเติม -ing เช่น
write → writing bake → baking
- V. ที่ลงท้ายด้วย ee ไม่ต้องตัด ee ทิ้ง เติม -ing ต่อท้ายได้เลย เช่น
see → seeing flee → fleeing
- V. ที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม -ing เช่น
lie → lying die → dying
Present Perfect
กลอน Present Perfect
Present Perfect ทำแต่เด็กจนถึงตอนนี้
has / have + V.3
เจอกี่ที มักมี since / for
Present Perfect Continuous
เพลง Present Tense
Present Simp. S + V.1
เกิดทุกวัน เกิดประจำ
Present Cont. คือ กำลังทำ
is am are + V.ing
Present Perfect ทำเสร็จแล้ว ทำนานแล้ว
has have + V.3
Present Per Cont. เกิดตลอดปี
have been + V.ing
ทั้งนี้ Present Per Cont. ใช้ได้ทั้ง has been และ have been + V.ing เลยนะ
แต่ที่ในกลอนร้องแค่ have อย่างเดียวก็เพื่อความกระชับของเพลงเฉย ๆ ค่ะ
Past Simple
รู้ไหม V.2 ไม่ได้เติม -ed เสมอไป!
V.2 ที่เปลี่ยนรูปไปเลย เช่น
do → did see → saw
go → went sing → sang
V.2 ที่ยังคงรูปเดิม เช่น
put → put cut → cut
hit → hit quit → quit
Past Continuous
ลองดูซิ ข้อไหนตอบ Past Continuous
- James went (go) to school yesterday.
- Mary was studying (study) for exams at 7 p.m. yesterday.
Past Perfect
กลอน have / has / had
เห็น have / has / had
แล้วบวกช่องว่าง
ให้กาช่องสาม
ตามหลังทันที
Past Perfect Continuous
Past Perfect VS. Past Perfect Continuous
ทั้ง Past Perfect และ Past Perfect Continuous สามารถใช้แทนกันได้ในบางครั้ง แต่ต่างกันตรงที่
Past Perfect Continuous จะเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์หรือการกระทำมากกว่า Past Perfect
ตัวอย่าง
S had V.3
She had worked for 5 hours before her parents arrived. (Past Perfect)
(หล่อนทำงานมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงก่อนที่พ่อแม่ของหล่อนจะมาถึง)
S had been V.ing
She had been working for 5 hours before her parents arrived. (Past Perfect Continuous)
(หล่อนทำงานมา
จะเห็นได้ว่าทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกัน คือ หล่อนทำงานมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงก่อนที่พ่อแม่ของหล่อนจะมาถึง
แต่ประโยคที่สอง (Past Perfect Continuous) นั้นแค่ต้องการจะเน้นว่าหล่อนทำงานมาอย่างต่อเนื่องจริง ๆ เป็นเวลา 5 ชั่วโมง
ไม่ได้หยุดพักเลยนั่นเอง
Future Simple
Will VS. Be going to
นอกจาก will แล้ว เรายังสามารถใช้ be going to (S + is/am/are + going to +V.1) ในการพูดถึง
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่ be going to นั้นมีความหมายว่า
“กำลังจะ” ซึ่งจะมีความแน่นอนมากกว่า will และมักใช้กับเหตุการณ์ที่วางแผนไว้แล้วล่วงหน้า หรือมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นแน่ ๆ
ตัวอย่าง Elena is going to meet her friends this evening.
(เอเลน่ากำลังจะไปพบเพื่อนของหล่อนเย็นนี้
Elena will meet her friends this evening.
(เอเลน่าจะไปพบเพื่อนของหล่อนเย็นนี้
Future Continuous
Future Simple VS. Future Continuous
สงสัยไหมว่า Future Simple กับ Future Continuous ต่างกันอย่างไร เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกัน
S will V.1
ตัวอย่าง I will wash my car tomorrow morning. (Future Simple)
(ฉันจะล้างรถพรุ่งนี้เช้า)
S will be V.ing
I will be washing my car tomorrow morning. (Future Continuous)
(ฉันจะกำลังล้างรถอยู่พรุ่งนี้เช้า)
ทั้งสองประโยคมีความหมายคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ประโยคที่สอง (Future Continuous)
จะให้ความรู้สึกที่เห็นภาพมากกว่าว่าพรุ่งนี้เช้าฉันจะกำลังล้างรถอยู่
Future Perfect
ลองดูซิ ประโยคนี้ตอบ Tense อะไร
The train __________ by the time we arrive at the station.
- will leave
- will have left
Future Perfect Continuous
Future Perfect VS. Future Perfect Continuous
ทั้ง Future Perfect และ Future Perfect Continuous เป็น Tense ที่เจ้าของภาษาไม่นิยมใช้ โดยเฉพาะในภาษาพูด
แต่อย่างไรก็ตาม เราควรรู้ข้อแตกต่างของทั้ง 2 Tenses นี้ไว้ เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกัน
S will have V.3
ตัวอย่าง I will have finished my job by 7 p.m. tomorrow. (Future Perfect)
(ฉันจะทำงานของฉันเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ตอน 1 ทุ่ม)
S will have been V.ing
I will have been working for 8 hours by 7 p.m. (Future Perfect Continuous)
(ฉันจะทำงาน
ทั้งสองประโยคนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ประโยคแรก (Future Perfect) จะมีความหมายว่า ทำบางสิ่งบางอย่างเสร็จ
ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต แต่ประโยคที่สอง (Future Perfect Continuous) จะมีความหมายว่า ทำบางสิ่งบางอย่าง
มาเป็นระยะเวลานานเท่าไรเมื่อถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต และเหตุการณ์นั้นยังไม่จบ มีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 4 : Sentence Structure
ประโยค simple อีก 2 แบบที่เหลือ!
1. ประโยค Subject Complement (S + V + SC)
- Subject Complement (SC) คือ ส่วนที่ขยายประธาน
- ช่วยบอกว่าประธานเป็นอะไร หรือมีลักษณะอย่างไร
- ถ้าไม่มีส่วนนี้ไม่ได้เพราะจะทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์ อ่านไม่รู้เรื่อง
- ส่วนที่ขยายประธานจะเป็น Noun หรือ Adjective ก็ได้
- โดยมักอยู่หลัง V. to be หรือ linking Verb (LV) เช่น
S V. to be SC (N) - I am a teacher.
ฉันเป็นครู
S V. to be SC (Adj) S LV SC (Adj) - I am beautiful. หรือ I look beautiful.
ฉันสวย
S V. to be SC (N) - Russia is the largest country.
รัสเซียคือประเทศที่ใหญ่ที่สุด
2. ประโยค Object Complement (S + V + O + OC)
- Object Complement (OC) คือ ส่วนที่ขยายกรรม
- ขาดส่วนที่ขยายกรรมไม่ได้เพราะจะอ่านไม่รู้เรื่อง
- โดยส่วนที่ขยายกรรมนี้ จะเป็น Noun หรือ Adjective ก็ได้
- และจะอยู่หลัง object (O) หรือกรรม เพื่อบอกว่ากรรมนั้น ๆ มีลักษณะอย่างไร เช่น
S V O OC (Adj) - They made her happy.
พวกเขาทำให้หล่อนมีความสุข
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 5 : Question
กลอน V. to do
do / does / did
เขียนติดบวก V. ไม่ผัน
do you + V.1
ใช้ถามและปฏิเสธ
กลอน Verb ช่วย
Do + one
Have + done
Be + ing
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 6 : Negative Sentence
สรุปเทคนิคการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นคำถาม และปฏิเสธ
วิธีเปลี่ยนประโยค ทำได้ด้วยการสังเกต V. ช่วย
- ถ้าประโยคมี V. ช่วย เช่น V. to be ---> ใช้ V. to be
เช่น He is a doctor. > Is he a doctor? > He isn’t a doctor.
เขาเป็นหมอ เขาเป็นหมอหรือเปล่า เขาไม่ได้เป็นหมอ
- ถ้าประโยคไม่มี V. ช่วย มีแต่ V. ปกติ ---> ใช้ V. to do (do, does, did)
เช่น He wants a car. > Does he want a car? > He doesn’t want a car.
เขาอยากได้รถ เขาอยากได้รถหรือเปล่า เขาไม่อยากได้รถ
ตัวอย่าง
- Present Simple Tense
- ประโยคบอกเล่า I want to go to the Opera House.
- ประโยคคำถาม Do you want to go to the Opera House?
- ประโยคปฏิเสธ I don’t want to go to the Opera House.
- Present Continuous Tense
- ประโยคบอกเล่า I’m going to the Opera House.
- ประโยคคำถาม Are you going to the Opera House?
- ประโยคปฏิเสธ I’m not going to the Opera House.
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 7 : Imperative Sentence
Imperative Sentence กับ Do
ถ้าต้องการให้ Imperative Sentence มีความสุภาพยิ่งขึ้น หรือต้องการเน้นย้ำสิ่งที่เราจะพูด
เราสามารถเติม do ไว้ข้างหน้า V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง Do come in. (เข้ามาข้างในได้เลย)
Do have a seat. (นั่งได้เลยนะ)
Do take your shoes off. (ถอดรองเท้าหน่อยนะ)
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 8 : Subject-Verb Agreement
กลอน Subject-Verb Agreement
ประธาน ไม่เติม -s อ๊ะ V. เติม -s
ประธาน เติม -s อ๊ะ V. ไม่เติม -s
กลอน every- some- no- any-
every- some- no- any-
สี่คำนี้ บวกได้สามอย่าง
ได้แก่ -body -thing -one
เขียนติดกัน Verb ผันเอกพจน์
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 9 : Subjunctive Sentence
กลอน เสนอแนะ + that
suggest request demand
มักต้องตามด้วย that ลงท้าย
recommend propose require
มักลงท้ายด้วย that รู้มั้ย
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 10 : Reported Speech
กลอน Say Speak Talk Tell
say that แปลว่า พูดว่า
ภาษาต้อง speak English
พูดคุย talk to talk with
บอกความคิด tell me about
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 11 : Relative Clause
เทคนิคการสร้างประโยค Relative Clause
Relative Clause คือ ประโยคขยายคำนาม สามารถเอาสองประโยคมารวมกันได้
ถ้าประโยคนั้นเกี่ยวข้องกัน และใช้คำนามร่วมกัน เช่น
I’d like to reserve the room. (ฉันอยากจองห้องนี้)
The room is modern. (ห้องนี้ทันสมัย)
วิธีรวมประโยค
- ดึงประโยคหลักขึ้นก่อน > I’d like to reserve the room.
- ดึงคำนามร่วมไว้คำสุดท้ายของประโยค > I’d like to reserve the room.
- เติม Relative Pronoun ที่ถูกต้องต่อท้าย > I’d like to reserve the room that...
- เติม V. หลัง Relative Pronoun > I’d like to reserve the room that is...
- นำประโยคที่เหลือมาต่อท้าย โดยไม่ต้องเติมคำนามร่วมอีกคำ > I’d like to reserve the room that is modern.
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 12 : Participles
กลอน Participles
-ing = ทำเอง
-ed = ถูกทำ
เมื่อเห็น V.ing หรือ V.ed (V.3) มาเดี่ยว ๆ มักจะขยายคำนาม ซึ่งวางไว้ไม่ข้างหน้า ก็ข้างหลังคำนามนั้น
V.ing
เช่น The running man (ผู้ชายที่กำลังวิ่งอยู่)
V.3
The broken glass (แก้วที่ถูกทำให้แตก)
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 13 : Active-Passive Voice
กลอน Passive
Passive แปลว่า ถูกทำ
be + ช่องสาม
by ตามเสมอ
-----------------------------------------------------------------------
Chapter 14 : Comparison
กลอน as _____ as
as _____ as
แปลว่าเท่ากัน
ต้องมีสองคำ
หน้าหลังเสมอ
กลอน ขั้นกว่า
ขั้นกว่าฉันขอ เติม more หรือ -er
อ๊ะ ที่สุดคือเธอ เติม most หรือ -est
บางคำผันไม่ตรง เช่น better แอนด์ best
จะ -er หรือ -est รู้สูตรเด็ดสำเร็จแน่นอน
-----------------------------------------------------------------------
If-Clause Type 0
อย่างที่รู้กันว่า If-clause type 0 (S + V.1, S + V.1) จะพูดถึงเรื่องที่เป็นปกติ หรือเป็นความจริงเสมอ
แล้วถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริงบ้าง
เรื่องจริงสำหรับ If-clause type 0 มีดังนี้
- เรื่องที่เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ เช่น โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
- เป็นความจริงทั่วไป เช่น ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงกับเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง
- ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเวลาไหน ก็จะเป็นความจริงเช่นนั้นเสมอ เช่น โลกมีแรงโน้มถ่วงทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
If-Clause Type 1
กลอน If-clause (type 1-3)
V. 1 , will do (type 1)
V. 2 , would see (type 2)
had V.3 , would have V.3 (type 3)
If-clause type 1
เช่น If you come, we will go.
(ถ้าคุณมา พวกเราจะไป)
If-Clause Type 2
กลอน If-clause (type 1-3)
V. 1 , will do (type 1)
V. 2 , would see (type 2)
had V.3 , would have V.3 (type 3)
การสลับประโยค If-clause type 2
ส่วนใหญ่คนมักใช้ If_______, _______. อย่าง If V.2, would V.1.
แต่จริง ๆ สามารถสลับโครงสร้างได้ เช่น
- ประโยคปกติ
If V.2 , would be (V.1)
If I had some money, I would be happy.
- ประโยคที่สลับโครงสร้าง
would be (V.1) if V.2
I would be happy if I had some money.
- สังเกตว่า เมื่อสลับโครงสร้างแล้ว จะไม่มี comma (,) กลางประโยค
- และประโยคทั้งซ้ายและขวา if จะสลับกัน
If-Clause Type 3
กลอน If-clause (type 1-3)
V. 1 , will do (type 1)
V. 2 , would see (type 2)
had V.3 , would have V.3 (type 3)
ตอบข้อไหน ตอบได้หรือเปล่า
- If you had studied harder, you _______ the exam.
A. pass
B. will pass
C. would pass
D. would have passed
- She would have bought the new book if she _______ enough money.
A. would have
B. had had
C. has
D. will have
✿ แต่ถ้าอยากติวคอร์ส KruDew ติว TOEIC มีให้ครบทุกอย่าง! ✿
ติว TOEIC กับครูดิว ดียังไง?
- คอร์สติว TOEIC ของครูดิวนั้น เรียน Online
- แบ่งบทเรียนชัดเจน เรียนง่ายไม่งง คลิ๊กเลือกบทเรียนที่ต้องการได้ทันที
- สามารถหยุด, เล่นซ้ำบทเรียนที่ต้องการได้แบบไม่อั้น! (ตลอดระยะเวลาคอร์ส)
- อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ใหม่ล่าสุด! ครบชุด!
- มีไฟล์ E-Book (PDF) ประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลด (และมีหนังสือเรียนเป็นเล่มส่งให้ถึงบ้าน)
- เรียนเวลาไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ แค่มี Internet
- หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบทเรียน สามารถส่งคำถามหาทีมงานได้
- การันตีคะแนน 750+ (หากสอบแล้วไม่ถึง สามารถแจ้งทวนคอร์สได้ฟรี!)
ถ้ายังไม่แน่ใจ? ทดลองติวฟรีก่อนได้ที่ >>> คอร์ส KruDew TOEIC
TOEIC® and TOEFL® are registered trademarks of Educational Testing Service (ETS). This product is not endorsed or approved by ETS.