รวม 70 ประโยคอังกฤษที่ใช้ผิดบ่อย! ฟรี! แจกเพิ่มอีก 30 ประโยคพร้อมทริคเสริมในตัว
รวม 70 ประโยคอังกฤษที่คนไทยใช่ผิดบ่อย!
ฟรี! นอกจาก 70 ประโยคแรกแล้ว ครูดิวรวบรวมประโยคที่ใช้กันผิด ๆ มาให้อีก 30 ประโยคด้วย
แถมมาพร้อมทริคเสริมในตัวด้วยนะ เลื่อนลงไปอ่านข้างล่างได้เลย
❌ ✅
1. I’m agree. I agree. (ฉันเห็นด้วย)
ทริคเสริม!
ใช้ I agree เพราะ agree เป็น V.1 แล้ว ไม่ต้องมี V. to be/am มาแทรก
(V. to be/am จะบวกได้เฉพาะ V.ing/V.3 เท่านั้น จะบวก V.1 ตามหลังไม่ได้)
2. I’m boring. I’m bored. (ฉันเบื่อ)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกความรู้สึกต้องใช้ V. to be + V.3 ที่แปลว่า รู้สึก… เพราะถ้าใช้
V. to be + -ing จะแปลว่า น่า… (มักใช้กับสิ่งของ ไม่ใช่คน)
3. I’ve become a dog. I’ve been a fool. (ฉันกลายเป็นหมา)
ทริคเสริม!
สแลงที่พูดกันว่า กลายเป็นหมา เช่น สถานการณ์ที่เพื่อนมาปรึกษาเรื่องความรัก
แต่พอเราให้คำแนะนำไป อยู่ดี ๆ เพื่อนก็กลับไปคืนดีกับแฟนจะไม่ใช้คำว่า
become a dog แบบตรง ๆ นะคะ ถ้าเอาไปพูดฝรั่งงงแน่นอน
4. I know her good. I know her well. (ฉันรู้จักเธอดี)
ทริคเสริม!
คำว่า know เป็น V. ส่วนคำว่า good เป็น Adj. ดังนั้นจะใช้ good ขยาย know
ไม่ได้ ต้องใช้ well ที่แปลว่า ดี เหมือน good แต่อยู่ในรูป Adv. แทน
5. I do mistakes. I make mistakes. (ฉันทำพลาด)
ทริคเสริม!
คำว่า ทำพลาด ภาษาอังกฤษจะใช้ make คู่กับ mistake ดังนั้นห้ามแปลตรงตัวว่า
do (ทำ) เหมือนภาษาไทยนะ
6. I like. I like it. (ฉันชอบมัน)
ทริคเสริม!
like เป็น V. ที่ต้องการกรรม ดังนั้นต้องมีกรรมตามมาเสมอ
(กรรมในตัวอย่างประโยคนี้คือคำว่า it)
7. I’m waiting you. I’m waiting for you. (ฉันกำลังรอคุณอยู่)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่า รอใครสักคน ต้องใช้ wait คู่กับ for เสมอ
8. I lost the bus. I missed the bus. (ฉันพลาดรถเมล์)
ทริคเสริม!
หลาย ๆ คนอาจจะใช้ประโยคนี้ผิด ถ้าจะพูดว่า พลาดรถเมล์ หรือขึ้นรถเมล์ไม่ทัน
ต้องใช้ miss ไม่ใช่ lost เพราะ lost จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเราเป็นเจ้าของรถเมล์
แต่อยู่ ๆ เราทำรถหาย อย่าสับสนกันนะคะ
9. I’m serious. I’m stressed. (ฉันเครียด)
ทริคเสริม!
serious ไม่ได้แปลว่า เครียด นะคะ แต่แปลว่า จริงจัง ดังนั้นถ้าจะบอกว่า
ฉันเครียด ต้องใช้ I’m stressed. เท่านั้น
10. I want go home. I want to go home. (ฉันอยากกลับบ้าน)
ทริคเสริม!
ถึง I want go home. จะแปลตรง ๆ เหมือนภาษาไทยว่า ฉันอยากกลับบ้าน
แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษห้ามแปลตรงตัวนะ ต้องมี to ระหว่าง want กับ go
เสมอ เพราะปกติ V. จะอยู่ติดกัน 2 ตัวไม่ได้ถ้าไม่ใช่ V. to be + ing / V.3
11. I call to her yesterday. I called her yesterday. (ฉันโทรหาเธอเมื่อวาน)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่าโทรหาใคร ใช้ call + someone ได้เลย ไม่ต้องมี to นำหน้า
12. I’m playing my phone. I’m using my phone. (ฉันกำลังเล่นมือถือ)
ทริคเสริม!
เรื่องนี้เป็นเรื่องการแปลตรงตัวเหมือนภาษาไทยเช่นกัน แม้เราจะพูดว่า
เล่นมือถือ แต่พอเป็นภาษาอังกฤษจะใช้ use the phone แทน อย่าเผลอ
ไปใช้ play the phone กันน้า
13. I no have money. I don’t have money. (ฉันไม่มีเงิน)
ทริคเสริม!
นอกจาก I don’t have money. แล้ว ยังสามารถใช้ I have no money. ใน
ความหมายว่า ฉันไม่มีเงิน ได้ด้วย แต่ห้ามใช้ I no have money. นะคะ
14. I look forward to meet you. I look forward to meeting you. (ฉันหวังว่าจะได้พบคุณ)
ทริคเสริม!
ปกติแล้วคำว่า to จะต้องตามด้วย V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) แต่ถ้าเจอ
look forward เมื่อไร ให้จำไว้เลยว่าเป็นข้อยกเว้น ต้องบวกด้วย V.ing เสมอ
15. I went to fitness. I went to the gym. (ฉันไปฟิตเนสมา)
ทริคเสริม!
คนไทยบางคนอาจจะติดปากกับ fitness เพราะใช้พูดในภาษาไทยบ่อย
แต่เวลาพูดเป็นภาษาอังกฤษ คำที่แปลว่า ฟิตเนส ต้องใช้ gym หรือ
fitness center ค่ะ จะใช้ fitness เฉย ๆ ไม่ได้น้า
16. I love flied lice. I love fried rice. (ฉันชอบข้าวผัด)
ทริคเสริม!
คำว่า ข้าวผัด หรือ fried rice อาจจะไม่มีปัญหาเวลาเขียนเท่าไร แต่
บางคนอาจจะมีปัญหาเวลาออกเสียง สังเกตว่า fried rice จะมีตัว r อยู่ด้วย
ดังนั้นต้องออกเสียง r ให้ถูก ถ้าเราออกเสียงผิดเป็น l จะได้เป็น fly lice ที่
แปลว่า เหาบิน แทนนะคะ
17. I’ll send you there. I’ll take you there. (ฉันจะไปส่งคุณที่นั่น)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่า ไปส่งใครสักคน จะใช้ take you to somewhere / drop you
off at somewhere ก็ได้ แต่จะไม่ใช้ send นะคะเพราะ send จะใช้กับ
สิ่งของ เช่น ส่งไปรษณีย์
18. I like to take a picture. I like to take pictures. (ฉันชอบถ่ายรูป)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่า ถ่ายรูป ฝรั่งจะใช้ pictures แบบมี -s เพราะปกติเวลาถ่ายรูป
เราก็จะถ่ายหลาย ๆ รูปอยู่แล้ว ไม่ได้ถ่ายรูปเดียว เลยไม่ใช้ a picture นั่นเอง
19. I play Instagram. I’m on Instagram. (ฉันเล่นอินสตาแกรม)
ทริคเสริม!
เช่นเดียวกับประโยคที่ 12. I’m playing my phone. เรื่องนี้เป็นเรื่องการแปล
ตรงตัวเหมือนภาษาไทย แม้เราจะพูดว่า เล่นไอจี แต่พอเป็นภาษาอังกฤษจะ
ใช้ on แทน ไม่ได้ใช้ play
20. I enjoy to read books. I enjoy reading books. (ฉันชอบอ่านหนังสือ)
ทริคเสริม!
enjoy เป็น V. ที่ไม่ตามด้วย to infinitive แต่จะตามด้วย V.-ing เสมอ ดังนั้น
จึงใช้ enjoy reading books ไม่ใช่ enjoy to read books ค่ะ
21. I’m like you. I like you. (ฉันชอบคุณ)
ทริคเสริม!
ใช้ I like you. เพราะ like เป็น V.แท้ ของประโยคอยู่แล้ว สามารถมาเดี่ยว ๆ
แบบไม่ต้องมี V. to be นำหน้าได้เลย
22. I scare. I'm scared. (ฉันกลัว)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกความรู้สึกต้องใช้ V. to be + V.3 ที่แปลว่า รู้สึก… ดังนั้น
ฉัน (รู้สึก) กลัวจึงต้องใช้ I'm scared. นั่นเอง
23. I’m not remember. I don’t remember. (ฉันจำไม่ได้)
ทริคเสริม!
remember เป็น V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) ดังนั้นต้องใช้ V. to do ที่เป็น
V.ช่วยในประโยคนี้เท่านั้น จะใช้ V. to be ไม่ได้เพราะ V. to be มักตามด้วย
V.ing / V.3
24. Close the light. Turn off the light. (ปิดไฟให้หน่อย)
ทริคเสริม!
เรื่องนี้เป็นเรื่องของการแปลตรงตัวเหมือนภาษาไทยค่ะ ถึง close จะแปลว่า
ปิด ก็จริง แต่ถ้าหมายถึงการปิดไฟ จะใช้ turn off แทนนะคะ
25. Open the TV. Turn on the TV. (เปิดทีวีให้หน่อย)
ทริคเสริม!
เช่นเดียวกับข้อ 24. open แปลว่า เปิดได้ แต่ถ้าหมายถึงเปิดทีวี
ภาษาอังกฤษจะใช้ turn on แทน open ค่ะ
26. Don’t serious. Don’t be serious. (อย่าไปจริงจังเลย)
ทริคเสริม!
V. to do หรือ don’t ในข้อนี้จะต้องตามด้วย V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม)
เสมอ แต่คำว่า serious เป็น Adj. ดังนั้นจะใส่ต่อท้าย don’t เลยไม่ได้
วิธีแก้คือ ต้องเพิ่ม be (V.infinitive) เข้ามาวางด้านหน้าก่อนนั่นเอง
27. Don’t be worry. Don’t worry. (อย่ากังวลไปเลย)
ทริคเสริม!
อย่างที่รู้กันว่า don’t จะตามด้วย V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) ก่อน แล้วถึง
จะตามด้วย Adj. ได้ (ถ้าอยากใส่ Adj. ต่อท้าย don’t) แต่ worry เป็น V. ดัง
นั้นจะวางต่อ be เป็น Don’t be worry. ไม่ได้ วิธีแก้คือเลือกใช้ได้ 2 ทาง คือ
Don’t worry. (วาง V. หลัง V. to do เลย) หรือ Don’t be worried. (เติม be
ก่อน แล้วตามด้วย Adj. อย่าง worried)
28. He did a request for computers. He made a request for computers. (เขาขอคอมพิวเตอร์)
ทริคเสริม!
คำว่า ขอ ภาษาอังกฤษจะใช้ make คู่กับ a request ฝรั่งจะไม่ใช้
do a request นะคะ
29. She married with him. She married him. (เธอแต่งงานกับเขา)
ทริคเสริม!
แม้ว่าภาษาไทยจะพูดว่า แต่งงานกับ… แต่เวลาพูดเป็นภาษาอังกฤษเรา
ไม่ต้องใส่คำว่า with นะคะ ใช้ marry + someone ได้เลย
30. How does it look like? What does it look like? (มันมีลักษณะเป็นยังไง)
ทริคเสริม!
ถึงภาษาไทยจะแปลว่า มันมีลักษณะเป็นยังไง (อย่างไร) แต่ไม่ได้ใช้ how
กลับกัน ประโยคนี้ต้องใช้ what เสมอ ส่วนเวลาตอบก็ต้องเป็นการอธิบาย
ลักษณะภายนอกของสิ่งนั้น ๆ เช่น มันมีลักษณะกลม เป็นต้น
31. We went to visit them. We visited them. (พวกเราไปเยี่ยมพวกเขา)
ทริคเสริม!
เวลาพูดว่า ไปเยี่ยม สามารถใช้ visit เดี่ยว ๆ ได้เลย ไม่ต้องมี go/went to
+ visit แล้ว
32. My English is no good. My English isn’t good. (ภาษาอังกฤษของฉันไม่ดี)
ทริคเสริม!
My English is no good. ผิดแกรมมาร์ ถ้าจะบอกว่าภาษาอังกฤษของฉัน
ไม่ดี สามารถพูดว่า My English isn’t good. หรือ My English is not good.
ก็ได้ค่ะ
33. Check bill, please. Check, please. (เก็บเงินด้วยค่ะ/ครับ)
ทริคเสริม!
คนไทยหลายคนอาจติดปากเวลาเรียกคิดเงินว่า เช็กบิล แต่จริง ๆ แล้วฝรั่ง
จะเลือกใช้คำใดคำหนึ่งเท่านั้น โดยคนอเมริกันจะใช้คำว่า check
34. Check bill, please. Bill, please. (เก็บเงินด้วยค่ะ/ครับ)
ทริคเสริม!
เวลาเรียกพนักงานให้คิดเงิน คนอังกฤษจะใช้คำว่า Bill, please.
35. Stop your mouth. Stop talking. (หยุดพูดได้แล้ว)
ทริคเสริม!
หยุดพูดได้แล้วนะ หรือหุบปาก ต้องใช้ Stop talking. นะคะ อย่าเผลอไปใช้
Stop your mouth. นะเพราะมันจะหมายถึงการทำให้ใครหยุดพูด เช่น
เอามือไปปิดปากเขา ไม่ใช่การที่เจ้าตัวหยุดพูดเอง
ประโยคสอนทริคแกรมมาร์พวกนี้ยังไม่พอ?
อ่าน Grammar ใน Grammar Go! เลย!
ให้เนื้อหา Grammar แบบจัดเต็มทุกเรื่อง ไม่มีกั๊ก!
หรือจะอ่าน review หนังสือ Grammar Go! ก่อน คลิกเลย
✿ ทดลองเรียนคอร์ส Basic Grammar กับครูดิวฟรี กดที่นี่เลย ✿
36. Have you been in Japan? Have you been to Japan? (คุณเคยไปญี่ปุ่นไหม)
ทริคเสริม!
ปกติเวลาจะบอกว่าไปประเทศไหน เราจะใช้ in + ชื่อประเทศ แต่กรณีเวลา
ถามว่าเคยไปประเทศนั้น ๆ ไหม เราจะใช้ to แทนนะคะ อย่าจำสลับกันน้า
37. She’s over. She’s exaggerating. (เธอกำลังพูดเวอร์ ๆ)
ทริคเสริม!
โอเวอร์คือคำติดปากของคนไทยบางคน ซึ่งฝรั่งเขาไม่ได้พูดกัน ถ้าจะบอกว่า
ใครกำลังพูดเวอร์ ๆ หรือพูดเกินจริง ให้ใช้ exaggerating แทนนะคะ
38. Every people love it. Every person loves it. (ทุกคนชอบมัน)
ทริคเสริม!
ประโยคนี้เกี่ยวข้องกับเรื่อง Determiner และ Subject-Verb Agreement
คือ ถ้าจะใช้ every นำหน้า N. และ V. ที่ตามมาต้องเป็นเอกพจน์ จึงได้เป็น
Every person loves it. ไม่ใช่ Every people love it.
39. Thank very much. Thanks very much. (ขอบคุณมาก)
ทริคเสริม!
เวลาจะขอบคุณ ถ้าไม่ใช้ Thank you. ก็ต้องใช้ Thanks แบบมี -s เสมอ
40. Where you come from? Where do you come from? (คุณมาจากที่ไหน)
ทริคเสริม!
การตั้งประโยคคำถามมักจะมี V.ช่วย มาวางก่อน V.แท้ ด้วย ดังนั้นประโยคนี้
จึงต้องมี V. to do เข้ามาเนื่องจาก V. to do ตามด้วย V.infinitive (ไม่ผัน
ไม่เติม) อย่าง come ได้
41. Where you go? Where have you been? (คุณไปไหนมา)
ทริคเสริม!
คุณไปไหนมา จะใช้ Where you go? ไม่ได้นะ มันผิดแกรมมาร์ค่ะ ที่ถูกต้อง
และฝรั่งใช้กันต้องพูดว่า Where have you been?
42. Have you eat yet? Have you eaten yet? (คุณกินอะไรหรือยัง)
ทริคเสริม!
ประโยค Have you eat yet? ผิดเพราะ V. to have ต้องตามด้วย V.3 ซึ่ง eat
เป็น V.1 ถ้าจะให้ถูกต้องเปลี่ยนเป็น eaten (V.3) ค่ะ
43. What do you do? What are you doing? (คุณกำลังทำอะไรอยู่)
ทริคเสริม!
ถ้าจะถามว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ ต้องใช้ What are you doing? นะคะ ถ้าใช้
What do you do? จะแปลว่า คุณทำงานอะไร
44. See you. See you later. (แล้วเจอกันนะ)
ทริคเสริม!
เคยได้ยินคนพูดคำว่า See you. กันใช่ไหม จริง ๆ แล้วไม่ถูกนะ ถ้าจะให้ถูก
ต้องเป็น See ya. หรือ See you later. ค่ะ
45. Do you happy? Are you happy? (คุณมีความสุขไหม)
ทริคเสริม!
V. to do ต้องบวกด้วย V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) เสมอ แต่ happy เป็น Adj.
ดังนั้นจะใช้ V. to do หรือ Do ในประโยคนี้ไม่ได้ ที่ให้ถูกคือต้องใช้ V. to be
เพราะ V. to be ตามด้วย V.ing / V.3 / Adj. ได้นั่นเอง
46. Listen me, please. Listen to me, please. (กรุณาฟังฉันด้วย)
ทริคเสริม!
ฟังฉันหน่อย ฝรั่งจะใช้ listen to + someone เสมอ อย่าลืมใส่ to เข้าไปด้วยนะคะ
47. My shirt is fit. My shirt is tight. (เสื้อของฉันคับ)
ทริคเสริม!
ในภาษาไทย คำว่า ฟิต อาจจะหมายถึง แน่นหรือคับ แต่เวลาพูดเป็น
ภาษาอังกฤษต้องใช้ tight ในความหมายนี้นะคะ ถ้าพูดว่า fit จะหมายถึง
พอดี ไม่คับไป ไม่หลวมไปค่ะ
48. You work hardly. You work hard. (คุณทำงานหนัก)
ทริคเสริม!
ดูเผิน ๆ อาจจะใช้คำว่า hardly ได้เพราะมี ly แต่ที่ใช้ไม่ได้เพราะ hardly
แปลว่า แทบจะไม่ ถ้าจะบอกว่า ทำงานหนัก เราจะใช้ hard (เป็น Adj. ก็ได้
หรือเป็น Adv. ก็ได้เช่นกัน) มาขยาย work แทน
49. They leave already. They left already. (พวกเขาจากไปแล้ว)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่าใครจากไปหรือออกไปแล้วมักหมายถึงการเล่าเรื่องในอดีต ดัง
นั้นเลยมักจะผัน leave เป็น left (V.2)
50. She doesn’t sad. She isn't sad. (เธอไม่ได้เศร้า)
ทริคเสริม!
he / she / it ต้องใช้กับ V. เอกพจน์เสมอ และคำว่า sad เป็น Adj. ด้วย
ดังนั้นจะใช้ doesn’t (ที่ต้องตามด้วย V. infinitive ไม่ผัน ไม่เติม) ไม่ได้
ต้องเปลี่ยนเป็น isn’t เพราะ isn’t หรือ V. to be ตามด้วย Adj. ได้นั่นเอง
51. You’re in trend. You’re trendy. (คุณทันสมัย)
ทริคเสริม!
ห้ามติดปากคำพูดภาษาไทยไปใช้ในภาษาอังกฤษน้า ถ้าจะบอกว่าทันสมัย
ต้องใช้ trendy ที่เป็น Adj. นะคะ
52. Everyone are busy. Everyone is busy. (ทุกคนไม่ว่าง)
ทริคเสริม!
ถึงแม้ everyone จะแปลว่า ทุกคน ซึ่งดูเหมือนจะเป็น N. พหูพจน์ แต่จริง ๆ
แล้วคำนี้เป็นเอกพจน์ ดังนั้นต้องใช้ V. เอกพจน์ด้วย
53. He smiled to me. He smiled at me. (เขายิ้มให้ฉัน)
ทริคเสริม!
คำว่า ยิ้มให้ใคร ต้องใช้ smile at someone เสมอ
54. She’s good for cooking. She’s good at cooking. (เธอทำอาหารเก่ง)
ทริคเสริม!
เวลาจะบอกว่า เก่งอะไรบางอย่าง ต้องใช้ good at + N. / V.ing ค่ะ ข้างบน
มีตัวอย่างของ V.ing แล้ว ถ้าจะดูตัวอย่าง N. เช่น She’s good at Math.
ที่แปลว่า เธอเก่งเลข นั่นเอง
55. He got the lottery. He won the lottery. (เขาถูกหวย)
ทริคเสริม!
เทคนิคง่าย ๆ เวลาจะบอกว่า ถูกหวย คือให้นึกว่าเราชนะเกมอะไรบางอย่าง
ค่ะ จำไว้ว่าต้องใช้ win หรือ won (ถูกหวยไปแล้วเรียบร้อย เลยใช้ won ที่เป็น
V.2) กับหวยเสมอนะ
56. He is teacher. He is a teacher. (เขาเป็นครู)
ทริคเสริม!
บางคนมักลืมใส่ determiner หน้า N. ตลอด แต่อย่าลืมน้า หน้า N. มักมี
determiner เสมอ ดังนั้นจึงต้องใส่ a ก่อนหน้า teacher ค่ะ
57. What time it is? What time is it? (กี่โมงแล้ว)
ทริคเสริม!
ถ้าเป็นคำถามปกติแบบนี้ จะเรียงโครงสร้างเป็น V. + S. เสมอ
58. Do you knowhow much is it? Do you know how much it is? (คุณรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไร)
ทริคเสริม!
ต่างกับข้อ 58. ถ้าประโยคคำถามเหมือนมีคำถามซ้อนกันอยู่ 2 ประโยค เช่น
ข้อนี้คือ Do you know…? กับ how much is it? คำถามอันหลังจะสลับเอา S.
ขึ้นก่อน V. เสมอนะคะ จึงได้เป็น Do you know how much it is?
59. Please take care her. Please take care of her. (โปรดดูแลเธอด้วย)
ทริคเสริม!
ในภาษาไทยอาจจะพูดแค่ว่า ดูแลเธอด้วย แต่เวลาพูดเป็นภาษาอังกฤษจะ
ต้องมี of ต่อหลัง take care เสมอนะคะ
60. Will you go to home? Will you go home? (คุณจะกลับบ้านไหม)
ทริคเสริม!
แน่นอนว่าปกติเวลาใช้ go จะต้องตามด้วย to somewhere แต่ถ้าจะบอกว่า
กลับบ้าน เราไม่ต้องใช้ to นะคะ สามารถใช้ go home เฉย ๆ ได้เลย
61. He already did a decision. He already made a decision. (เขาตัดสินใจแล้ว)
ทริคเสริม!
เช่นเดียวกับหลาย ๆ ข้อที่ผ่านมา ถ้าจะบอกว่า ตัดสินใจ ต้องใช้ make คู่กับ
decision เสมอ จะใช้ do ไม่ได้ ส่วนจะผัน make เป็น made ไหมก็ขึ้นอยู่
บริบทหรือเหตุการณ์นั้น ๆ ค่ะ
62. He said a lie. He told a lie. (เขาโกหก)
ทริคเสริม!
โกหกหรือบอกเรื่องโกหกจะใช้ tell a lie ฝรั่งจะไม่พูดว่า say นะคะ
63. Are you understand? Do you understand? (คุณเข้าใจไหม)
ทริคเสริม!
understand เป็น V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) ดังนั้นจะใช้กับ are ที่ต้องตาม
ด้วย V.ing / V.3 / Adj. ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้ do แทน
64. Are you speak English? Do you speak English? (คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม)
ทริคเสริม!
เช่นเดียวกับข้อ 63. คำว่า speak เป็น V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม) ดังนั้นจะ
ใช้กับ are ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้ do เท่านั้น
65. She don’t like it. She doesn't like it. (เธอไม่ชอบมัน)
ทริคเสริม!
he / she / it เป็นเอกพจน์จึงต้องใช้กับ V. เอกพจน์เสมอ ดังนั้นจะใช้ don’t
ไม่ได้ (don’t ใช้กับ V. หรือ S. พหูพจน์)
66. It’s depend on you. It depends on you. (มันขึ้นอยู่กับคุณ)
ทริคเสริม!
depend เป็น V.แท้ ที่อยู่เดี่ยว ๆ ได้ ไม่ต้องมี V.ช่วย มาอยู่ด้านหน้าอีก จึงใช้
It depends on you. ได้เลย
67. He’s interesting. He’s interested. (เขารู้สึกสนใจ)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกความรู้สึกต้องใช้ V. to be + V.3 ที่แปลว่า รู้สึก… เพราะถ้าใช้
V. to be + -ing จะแปลว่า น่า… (มักใช้กับสิ่งของ ไม่ใช่คน)
68. What you say? What did you say? (คุณพูดอะไรนะ)
ทริคเสริม!
การตั้งประโยคคำถามมักจะมี V.ช่วย มาวางก่อน V.แท้ ด้วย ดังนั้นประโยคนี้
จึงต้องมี V. to do เข้ามาเนื่องจาก V. to do ตามด้วย V.infinitive (ไม่ผัน
ไม่เติม) อย่าง say ได้
69. Do you want? Do you want it? (คุณต้องการมันไหม)
ทริคเสริม!
want เป็น V. ที่ต้องการกรรม ดังนั้นจะมาเดี่ยว ๆ ไม่ได้ ต้องเติม pronoun /
noun ต่อท้ายเสมอ
70. Don’t shout to me. Don’t shout at me. (อย่าตะโกนใส่ฉัน)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่า ตะโกนใส่ใครสักคน ต้องใช้ shout + at เสมอ ห้ามใช้ shout + to นะคะ
ประโยคสอนทริคแกรมมาร์พวกนี้ยังไม่พอ?
อ่าน Grammar ใน Grammar Go! เลย!
ให้เนื้อหา Grammar แบบจัดเต็มทุกเรื่อง ไม่มีกั๊ก!
หรือจะอ่าน review หนังสือ Grammar Go! ก่อน คลิกเลย
✿ ทดลองเรียนคอร์ส Basic Grammar กับครูดิวฟรี กดที่นี่เลย ✿
71. It’s enough sweet. It’s sweet enough. (มันหวานพอแล้ว)
ทริคเสริม!
เวลาจะใช้ enough คู่กับ Adj. ต้องวาง Adj. ไว้ก่อน enough เสมอ
72. We have room enough. We have enough room. (พวกเรามีห้องมากพอ)
ทริคเสริม!
ต่างจากข้อ 71. ถ้าจะใช้ enough คู่กับ N. ต้องวาง N. ไว้ก่อน enough
73. She’s under the sun. She’s in the sun. (เธออยู่กลางแจ้ง)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่าอยู่กลางแดดหรือกลางแจ้งจะใช้ in the sun ส่วน under the
sun เป็นสำนวน จะใช้เวลาที่พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีจำนวนมาก ๆ หรือมีเยอะ
จนนับไม่ถ้วน เช่น She likes to talk about everything under the sun.
ที่แปลว่า เธอชอบพูดเรื่องทุกอย่าง (ชอบทุกอย่าง ชอบหมดจนนับไม่ถ้วน)
74. He’s yet at home. He’s still at home. (เขายังคงอยู่บ้าน)
ทริคเสริม!
ถึง yet จะแปลว่า ยัง หรือยังคงได้ แต่ยังคงในกรณีที่บอกว่า ยังคงทำอะไร
บางอย่าง ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง จะใช้คำว่า still แทน
75. Leave me lonely. Leave me alone. (ปล่อยฉันไว้คนเดียว)
ทริคเสริม!
Leave me lonely. ไม่ได้ผิดแกรมมาร์นะคะ สามารถใช้ได้เหมือนกัน แต่ใช้
ในความหมายว่า ปล่อยให้ฉันเหงาเถอะ แต่ถ้าอยากจะบอกว่า ปล่อยฉัน
ไว้คนเดียว จะใช้ Leave me alone. แทนค่ะ
76. Who is in the phone? Who is on the phone? (ใครอยู่ในสาย)
ทริคเสริม!
เมื่อพูดถึงโทรศัพท์ มักจะใช้คำว่า on เสมอ เช่น I’m on the phone.
(ฉันเล่นโทรศัพท์อยู่) เป็นต้น
77. I go to work on bus. I go to work by bus. (ฉันไปทำงานโดยรถเมล์)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกนั่งรถเมล์อยู่ ปกติจะใช้ I’m on the bus. ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าจะ
บอกว่านั่งรถเมล์ไปทำงาน ต้องใช้ by ที่แปลว่า โดย มาแทน on นะคะ
78. Open page 2 of your book. Open your book to page 2. (เปิดหนังสือของคุณไปที่หน้า 2)
ทริคเสริม!
ดูเผิน ๆ เหมือนประโยคสีแดงจะถูกเพราะไม่ได้ผิดแกรมมาร์ใช่ไหมคะ แต่
เวลาใช้จริง ฝรั่งจะใช้แบบประโยคสีเขียวค่ะ
79. I was born on 1997. I was born in 1997. (ฉันเกิดปี 1997)
ทริคเสริม!
เรื่องนี้เกี่ยวกับ preposition คือ ถ้าพูดถึงปี จะใช้ in นำหน้าเสมอ
80. Keep the right, please. Keep to the right, please. (กรุณาชิดขวา)
ทริคเสริม!
เวลาบอกให้ใครชิดซ้ายหรือชิดขวา ห้ามลืม to นะคะ
81. I’m afraid dogs. I’m afraid of dogs. (ฉันกลัวหมา)
ทริคเสริม!
เวลาจะบอกว่า กลัวอะไรบางอย่าง ต้องใช้ afraid of + สิ่งที่กลัวเสอ
อย่าเผลอแปลตรงตามแบบภาษาไทยจนลืมพูดคำว่า of นะคะ
82. I agree to you. I agree with you. (ฉันเห็นด้วยกับคุณ)
ทริคเสริม!
เห็นด้วยกับใครสักคน หรือ agree ต้องมาคู่กับ with เสมอ
83. You and me are friends. You and I are friends. (คุณกับฉันเป็นเพื่อนกัน)
ทริคเสริม!
ถ้าทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค I จะต้องเป็น I เสมอ จะผันเป็น
pronoun อื่น ๆ เช่น me ไม่ได้ กลับกัน ถ้าทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
ต้องเปลี่ยน I ตรงนี้เป็น me เช่น They love you and me. (พวกเขารักคุณ
และฉัน)
84. She likes it, isn’t she? She likes it, doesn’t she? (เธอชอบมันใช่ไหม)
ทริคเสริม!
เวลาใช้ Question Tag ต้องดู V. เป็นหลัก ประโยคนี้มีคำว่า likes ที่เป็น V.1
ดังนั้นต้องใช้ V. to do เข้ามาช่วย ถ้าจะใช้ tag แบบ V. to be ในประโยคต้อง
มี V. to be ด้วย เช่น She is Thai, isn’t she. (เธอเป็นคนไทยไม่ใช่เหรอ)
85. Don’t go in the sun. Don’t go out in the sun. (อย่าออกไปกลางแดด)
ทริคเสริม!
ถ้าจะพูดว่า อย่าออกไปกลางแดด ฝรั่งจะใช้คำว่า go out ไม่ใช่ go เฉย ๆ ค่ะ
86. Tell me why did you go there? Tell me why you went there. (บอกฉันหน่อยว่าทำไมคุณถึงไปที่นั่น)
ทริคเสริม!
ถ้าประโยคมี wh-questions อยู่ด้วย แต่จริง ๆ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นประโยค
บอกเล่าธรรมดา ไม่ต้องใส่ question mark และไม่ต้องเรียงประโยคแบบ
ประโยคคำถามทั่วไป แค่ใช้ V. ปกติได้เลย ไม่ต้องมี V.ช่วย
87. I will reach at London soon. I will reach London soon. (ฉันจะไปถึงลอนดอนเร็ว ๆ นี้)
ทริคเสริม!
reach สามารถตามด้วยสถานที่ได้เลย ไม่ต้องมี at ตามหลัง
88. Can you see me on the picture? Can you see me in the picture? (คุณเห็นฉันในรูปไหม)
ทริคเสริม!
ข้อนี้ใช้เหมือนภาษาไทยเลย คือถ้าจะให้ดูอะไรสักอย่างในรูป ใช้ in the
picture ได้เลยนะคะ
89. He bought it with 500 baht. He bought it for 500 baht. (เขาซื้อมันมา 500 บาท)
ทริคเสริม!
ซื้อมาด้วยราคาเท่าไร ต้องใช้ buy + for เสมอค่ะ
90. The Sun sets from the West. The Sun sets in the West. (พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก)
ทริคเสริม!
ไม่ว่าจะพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก จะใช้ rise in (ขึ้นทาง) และ set in (ตกทาง)
ตลอดนะคะ
91. Can you say Thai? Can you speak Thai? (คุณพูดภาษาไทยได้ไหม)
ทริคเสริม!
ถ้าจะถามว่า พูดภาษาอะไรสักอย่างได้ไหม จะใช้คำว่า speak + ภาษา ไม่ใช่
say นะคะ หรือจำด้วยเทคนิคครูดิวง่าย ๆ คือ “say that แปลว่า พูดว่า /
ภาษาต้อง speak English / พูดคุย talk to talk with / บอกความคิด
tell me about”
92. You must to do it. You must do it. (คุณต้องทำมัน)
ทริคเสริม!
must เป็น V. ที่สามารถตามด้วย V. ได้เลยโดยไม่ต้องมี to ตามมา
93. I don’t have nothing to say. I have nothing to say. (ฉันไม่มีอะไรจะพูด)
ทริคเสริม!
ถ้าจะใช้ nothing ในประโยค ต้องไม่มี not ที่เป็นปฏิเสธมาซ้ำกัน ให้ใช้
ปฏิเสธอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย คือ ถ้าไม่ใช้ I have nothing to say. ก็
อาจจะใช้ I don’t have anything to say. ได้เหมือนกัน
94. I’m a freshy. I’m a freshman. (ฉันเป็นเด็กปี 1)
ทริคเสริม!
จริง ๆ ถ้าจะบอกว่า เราเป็นเด็กปี 1 ต้องใช้ freshman หรือถ้าอยู่ใน
รูปพหูพจน์ก็คือ freshmen นั่นเองค่ะ
95. I’m really in you. I’m really into you. (ฉันชอบเธอมาก ๆ)
ทริคเสริม!
ถ้าจะบอกว่า เรากำลังอินหรือชอบใครอยู่ ให้ใช้ into นะคะ อย่าเผลอไปใช้
in ตรง ๆ เหมือนเวลาพูดภาษาไทยน้า
96. Let’s american share. Let’s split the bill. (จ่ายของใครของมันดีกว่า)
ทริคเสริม!
นอกจาก Let’s split the bill. แล้ว ยังสามารถใช้ Let’s share the bill. ได้
ด้วยนะคะ ทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกันเลย
97. Can you to meet me? Can you meet me? (คุณมาเจอฉันได้ไหม)
ทริคเสริม!
เวลาใช้ Modal Verb อย่าง can สามารถใช้ V.infinitive (ไม่ผัน ไม่เติม)
ตามมาได้เลย ไม่ต้องเติม to แล้วค่ะ
98. A number of tourists is walking. A number of tourists are walking.
(นักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังเดินอยู่)
ทริคเสริม!
ถ้าเห็น a number of เมื่อไร ต้องผัน V. เป็นพหูพจน์เสมอค่ะ หรือจำง่าย ๆ
แบบครูดิวคือ a number of = a lot of (มาก) ถ้ามีมากแล้ว V. เลยต้องมาก
หรือผันเป็นพหูพจน์ด้วย
99. The number of students are rising. The number of students is rising.
(จำนวนของนักเรียนกำลังเพิ่มขึ้น)
ทริคเสริม!
จำไว้ว่า ถ้า a number of + V. พหูพจน์ แล้ว the number of ต้อง +
V. เอกพจน์ค่ะ ห้ามใช้สลับกันน้า
100. Do you have any informations? Do you have any information? (คุณมีข้อมูลอะไรไหม)
ทริคเสริม!
คำว่า information ถือเป็น N. นับไม่ได้ ดังนั้นห้ามเติม -s เด็ดขาดนะคะ
ประโยคสอนทริคแกรมมาร์พวกนี้ยังไม่พอ?
อ่าน Grammar ใน Grammar Go! เลย!
ให้เนื้อหา Grammar แบบจัดเต็มทุกเรื่อง ไม่มีกั๊ก!
หรือจะอ่าน review หนังสือ Grammar Go! ก่อน คลิกเลย
✿ ทดลองเรียนคอร์ส Basic Grammar กับครูดิวฟรี กดที่นี่เลย ✿