รีวิว Duolingo English Test เทียบการสอบ IELTS

รีวิว Duolingo English Test เทียบการสอบ IELTS

สอบ Duolingo English Test ยากไหม? ต่างกับการสอบ IELTS ยังไง? เลือกสอบอะไรดีกว่ากัน? บทความนี้มีคำตอบให้ เข้ามาอ่านกันเลย!

รีวิว Duolingo English Test เทียบการสอบ IELTS


 

สอบ Duolingo English Test (DET) เป็นข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษน้องใหม่ มาแรง! ใช้ยื่นเรียนต่อได้หลายสถาบันทั่วโลก! หลายคนที่อาจจะเคยได้ยิน หรือกำลังสนใจ Duolingo English Test อยู่ อาจจะลังเลว่าจะลองสอบดีมั้ยนะ? มันจะดีกว่า หรือต่างจากการสอบ IELTS ที่เรารู้จักรึเปล่า? ตามมาดูบทความนี้เลย เทียบให้เห็นชัด ๆ ความต่างของ Duolingo English Test และ IELTS (Academic) ที่มักจะเป็น 2 การสอบที่คนลังเลกันบ่อย ๆ

 

1. เวลาในการสอบ

รีวิวสอบ Duolingo English Test เทียบการสอบ IELTS

 

ปัจจัยเรื่องเวลาในการสอบ เป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนพิจารณา เพราะการสอบต้องใช้สมาธิสูงมาก เรียกว่าสอบที สมองล้าแน่นอน ซึ่งถ้าเทียบกันในจุดนี้ การสอบ Duolingo English Test จะค่อนข้างได้เปรียบกว่า IELTS เนื่องจากการสอบทั้งหมด ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น! แถมหลังจากซื้อ ticket แล้ว จะเข้าไปสอบตอนไหนก็ได้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด

เรียกว่าถ้าใครไม่ชอบเสียเวลา ไม่อยากเดินทาง การสอบ DET นั้นตอบโจทย์มาก ๆ เลยค่ะ

☀☀☀☀

2. ค่าสอบ

*เค้าจะคิดเป็นเงิน USD นะคะ แต่เทียบเงินไทยประมาณเท่านี้ค่ะ

สำหรับคนงบน้อย น่าจะถูกใจการสอบ Duolingo English Test มาก ๆ เพราะเทียบกับการสอบ IELTS แล้ว ราคาถูกกว่ามาก! นอกจากนี้หลังจากซื้อ ticket แล้ว เราจะสามารถเก็บไว้ก่อน ยังไม่สอบก็ได้ค่ะ แต่ต้องเข้าไปสอบภายใน 21 วันหลังจากวันที่ซื้อนะคะ ส่วน IELTS นั้น เรียกว่าถ้าไม่พร้อม ก็ไม่ควรไปสอบเลย เพราะค่าสอบค่อนข้างสูง แถมควรจัดตารางเวลาให้ดีด้วย เพราะเราต้องเลือกวัน เวลาให้เสร็จตั้งแต่แรกเลยค่ะ (ใครจะสอบ IELTS อย่าลืมเผื่อเวลาเดินทางไปศูนย์สอบด้วยนะคะ)

☀☀☀☀

3. ความยาก

อีกหนึ่งความน่าสนใจของการสอบ Duolingo ก็คือการที่เป็น Adaptive Test หรือข้อสอบที่จะค่อย ๆ ปรับความยากขึ้นตามความสามารถของเรานั่นเอง เช่นถ้าเราทำข้อสอบถูกเยอะ ข้อถัดไปก็อาจจะยากขึ้น แต่ถ้าตอบผิดเยอะ ข้อถัดไปก็อาจจะได้ระดับที่ลดลงมาหน่อย เพื่อทดสอบความสามาถเรานั่นเองว่าอยู่ระดับไหน ส่วนการสอบ IELTS นั้นจะใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก โดยข้อสอบและโจทย์ต่าง ๆ ก็จะสุ่มมาจากคลังข้อสอบกลางนั่นเองค่ะ

ถามว่าแล้วอะไรดีกว่ากัน? – ในมุมของ Duolingo English Test นั้นจะเน้นเรื่องของการใช้งานภาษาจริง ๆ เพราะงั้นจะค่อนข้างไม่กดดันมาก ถ้าเราเก่ง ข้อสอบก็ยากตาม ถ้าเราอ่อนหน่อย ข้อสอบก็จะลดระดับลงมาเพื่อหาจุดว่าความสามารถเราอยู่ตรงไหนกันแน่ สุดท้ายผลออกมาคิดว่าค่อนข้างสะท้อนความสามารถจริงของเราเลยทีเดียวค่ะ

แต่ IELTS ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ เพราะการมีมาตรฐานกลาง ก็ถือว่าเป็นข้อดีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเก่งหรือไม่เก่ง ทุกคนได้ข้อสอบยากระดับเดียวกันหมด ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัว และพื้นฐานของแต่ละคนว่าจะทำได้ดีแค่ไหนค่ะ

คอร์สเดียวครบ! พร้อมสอบ Duolingo English Test

ติวสอบ Duolingo English Test ครบทุกพาร์ท

4. Writing

 

Writing ถือเป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับคนไทยมาก เพราะงั้นหลายคนจะกังวลเรื่องนี้เป็นพิเศษ จะต้องเขียนยาวมั้ย เขียนอะไรบ้าง?

ถ้าเป็นการสอบ Duolingo English Test นั้น บอกเลยว่าจะไม่ค่อยกดดันเรื่องของจำนวนคำมากนัก และการพิมพ์ตอบส่วนมากเป็นการพิมพ์สั้น ๆ โดยรูปแบบข้อสอบ Writing ที่จะเจอในการสอบ DET นั้น เช่น

 

  • Read, Then Write (อ่านโจทย์แล้วเขียน)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

เป็นรูปแบบเดียวที่กำหนดคำขั้นต่ำมาให้ แต่ก็อยู่ที่ 50 คำซึ่งไม่ถือว่ามากกับเวลา 5 นาที (มีตัวนับจำนวนคำให้ด้วย ไม่ต้องกังวล)

 

  • Listen and Type (ฟังประโยคแล้วพิมพ์ตามที่ได้ยิน)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

รูปแบบนี้เราจะมีโอกาสฟังประโยค 3 ครั้ง แล้วให้พิมพ์ประโยคตามที่ได้ยิน ซึ่งก็จะเป็นประโยคที่ไม่ยาวมาก เป็นประโยคทั่วไป


 

  • Write About the Photo (เขียนบรรยายภาพ)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

ข้อสอบ Duolingo English Test จะมีแบบให้ภาพมา แล้วให้เราเขียนบรรยายด้วย แต่! ไม่ต้องตกใจ เพราะขั้นต่ำคือให้พิมพ์แค่ 1 ประโยคก็ได้ แต่ถ้าเราสามารถพิมพ์ได้มากกว่าขึ้น หรือใส่ส่วนขยายให้เป็นประโยคที่ complex มากขึ้นได้ คะแนนเราก็จะสูงขึ้นตามด้วยค่ะ

 

  • Writing Sample (เขียนตามหัวข้อที่ให้มา)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

รูปแบบนี้จะเป็นการทำข้อสอบที่อัด VDO ตอนเราพิมพ์ไปด้วย เพื่อส่งให้กับสถาบันที่เราจะยื่นคะแนนค่ะ (ถูกส่งไปพร้อมกับผลคะแนนเลย) รูปแบบนี้เรียกว่าแอบใกล้เคียงกับ IELTS แต่ข้อดีคือไม่ได้กำหนดจำนวนคำว่า แต่กำหนดเป็นเวลามาแทนคือ พิมพ์ตอบอย่างน้อย 3 นาที สูงสุดไม่เกิน 5 นาที และรูปแบบนี้จะมีแค่ 1 ข้อเท่านั้น!

 

ในขณะที่การสอบ IELTS นั้นจะแบ่งพาร์ท Writing ชัดเจน คือ

 

  • Task 1 (บรรยายข้อมูล)

(source: Cambridge IELTS Academic 16)

 

ของ IELTS นั้นใน Task 1 จะเป็นการให้เขียนบรรยายข้อมูลที่โจทย์ให้มา อย่างน้อย 150 คำ (ควรใช้เวลา 20 นาทีสำหรับพาร์ทนี้) ซึ่งรูปแบบของข้อมูลก็จะหลากหลาย เช่น กราฟแท่ง, กราฟเส้น, pie chart, ตารางข้อมูล, map เป็นต้น หลายคนจะรู้สึกว่ายาก เพราะต้องอ่านข้อมูลแล้วเลือกมาเขียนให้เหมาะสม เวลาก็ถือว่าน้อย สำหรับการที่ต้องอ่านด้วย และเลือกหยิบข้อมูลมาเขียนด้วย ค่อนข้างท้าทายเลยทีเดียวค่ะ
 

  • Task 2 (เขียน essay)

(source: Cambridge IELTS Academic 16)

 

ส่วน Task 2 ของ IELTS นั้น ท้าทายไม่แพ้กัน เพราะต้องเขียน 250 คำ ภายใน 40 นาที โดยโจทย์จะเป็นแนวให้ statement มา แล้วให้เราเขียนตอบเช่น เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย, เลือกมุมไหน, ถกปัญหา และเสนอความคิดเห็น, ถามเหตุและผล เป็นต้น

สรุปเมื่อเทียบกับระหว่าง DET กับ IELTS แล้ว ในส่วนของ Writing นั้น การสอบ Duolingo ดูจะกดดันน้อยกว่า ถึงแม้ว่ารูปแบบข้อสอบจะหลากหลายกว่าก็ตาม เพราะ IELTS นั้นจะมีเรื่องของจำนวนคำ และแนวโจทย์ก็จะเน้นเชิงวิชาการมากกว่า (เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมเวลาเรียนระดับมหาวิทยาลัย)

 

คอร์สเดียวครบ! พร้อมสอบ Duolingo English Test

ติวสอบ Duolingo English Test ครบทุกพาร์ท

 

5. Reading

 

Reading ของ Duolingo English Test  นั้นเป็นอะไรที่ว้าวมาก! เพราะรูปแบบไม่เหมือนของ IELTS หรือการสอบทั่วไป ที่จะให้บทความยาว ๆ มา แล้วให้เราอ่านหาคำตอบ แต่! จะเป็นบทความสั้น ๆ ประมาณ 100 คำ และทยอยแบ่งมาให้ทีละส่วนด้วย! ทั้งนี้ด้วยรูปแบบข้อสอบเองก็จะหลากหลายกว่า IELTS แต่ว่าจะเป็นการเลือก choice ทั้งหมด โดยรูปแบบข้อสอบ Interactive Reading จะแบ่งย่อยเป็น

  • Complete the Sentences
    เลือกศัพท์จากตัวเลือก เติมลงในประโยค
  • Complete the Passage
    Passage จะเว้นตรงกลาง ให้เลือกประโยคที่เติมแล้วเชื่อมกับบน-ล่างดีที่สุด
  • Highlight the Answer
    มีโจทย์มาให้ ให้ไฮไลต์ส่วนใน Passage ที่เป็นคำตอบ
  • Identify the Idea
    เลือกข้อที่มีการกล่าวถึงในบทความ
  • Title the Passage
    เลือกชื่อบทความให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง

 

โดยข้อสอบ Interactive Reading จะวัดทั้งเรื่องคำศัพท์ การเชื่อมโยงไอเดีย ความเข้าใจในเนื้อหา และการจับประเด็น ส่วนแนว Passage นั้นก็จะไม่ได้วิชาการมาก แต่จะเป็นแนวเล่าเรื่อง (1 เรื่อง) และแนวให้ข้อมูล (1 เรื่อง)

สรุปในหัวข้อ Reading นั้น – ค่อนข้างเทคะแนนให้ Duolingo English Test ค่ะ เพราะว่าข้อสอบสั้น อ่านไม่เยอะ และโจทย์ก็จะมาเป็น choice ทั้งหมดด้วย ไม่ต้องกังวลเหมือนกับของ IELTS ว่า อันนี้ต้องไม่เกินกี่คำนะ อันนี้ให้ตอบเป็นคำ หรือเป็นตัวอักษรกันแน่ และที่สำคัญ! Reading ของ DET ไม่มีโจทย์แบบ TRUE/FALSE/NOT GIVEN ที่หลายคนไม่ถนัดเวลาสอบ IELTS

 

☀☀☀☀

6. Speaking

 

ส่วน Speaking นั้น ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคนเลยค่ะ เช่นถ้าเป็นคนขี้อาย เจอฝรั่ง เจอคนแปลกหน้าแล้วยิ่งเกร็ง — การสอบกับคอมก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าใครถนัดพูดกับคน แบบให้มีคนคอยถาม แล้วเราตอบ ก็น่าจะเหมาะกับการสอบ IELTS มากกว่าค่ะ

แต่ถ้าเทียบในส่วนของข้อสอบนั้น ข้อสอบ Duolingo English Test จะดูกดดันน้อยกว่าในบางรูปแบบ เช่น

 

  • Read Aloud (อ่านประโยคที่เห็น)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

อันนี้คือจะเรียกว่า Speaking ก็ไม่เชิง แต่เป็นการให้อ่านออกเสียงจากประโยคที่เราเห็นค่ะ ก็ไม่ต้องคิดคำตอบอะไร แค่พูดตามที่เห็นเท่านั้นเลย

 

  • Speak About the Photo (พูดบรรยายภาพ)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

โจทย์จะมีภาพมาให้ แล้วให้เราพูดบรรยายภาพอย่างน้อย 30 วินาที แต่ถ้าใครสามารถพูดได้มากกว่านั้น ก็จัดได้เลยค่ะ สูงสุดไม่เกิน 1.30 นาที ซึ่งก็ถือว่ายังน้อยกว่า IELTS

 

  • Read, Then Speak/Listen, Then Speak (อ่านโจทย์แล้วพูดตอบ/ฟังโจทย์แล้วพูดตอบ)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

สองแบบนี้จะคล้ายกันคือมีโจทย์ให้ แล้วพูดตอบอย่างน้อย 30 วินาที

จะต่างกันที่แบบหนึ่งโจทย์จะมาเป็น Cue Card ให้อ่าน

แล้วมี guide ให้เป็นข้อ ๆ (จะคล้ายกับ IELTS Speaking Part 2)

ส่วนอีกแบบจะให้โจทย์มาเป็นเสียงให้เราฟังแทน (ฟังได้สูงสุด 3 รอบ)

 

  • Speaking Sample *ไม่นับคะแนน

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

Speaking Sample นั้นจะมีโจทย์ขึ้นมาให้เราอ่าน

และให้พูดตอบอย่างน้อย 1 นาที (สูงสุด 3 นาที)

โดยที่ระบบจะอัด VDO ขณะที่เราพูดไปด้วย

และ VDO จะถูกส่งให้สถาบันที่เราจะยื่นคะแนนด้วย

*พาร์ทนี้ปัจจุบันจะยังไม่ถูกนับมาคิดคะแนนด้วย

แต่จะเป็นแนวให้สถาบันที่เราสมัครได้เห็นท่าทาง

และลักษณะการพูดของเราในขณะที่เราพูดตอบ

สรุปถ้าเป็นเรื่องของ Speaking ก็จะขึ้นอยู่กับความถนัด

และความชอบของแต่ละคน เพราะแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจนเลยค่ะ

 

☀☀☀☀

7. Listening

 

สำหรับ Listening นั้น รูปแบบต่างกันค่อนข้างชัดเจน โดยที่ Duolingo English Test นั้นจะไม่ได้เน้นให้ฟังยาว ๆ อย่างเดียว แต่จะเป็นการเอาสกิลฟัง ไปใช้ร่วมกับสกิลอื่น ๆ เช่น

 

  • Listen and Select (ฟังคำศัพท์แล้วเลือกคำ)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

ให้กดฟังการออกเสียงศัพท์แต่ละคำ แล้วเลือกว่าคำไหนเป็นคำที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษจริง ๆ (ข้อสอบจะให้คำหลอก ๆ ที่ไม่มีความหมายมาด้วย)

 

  • Listen and Type (ฟังประโยคแล้วพิมพ์ตามที่ได้ยิน)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

รูปแบบนี้เราจะมีโอกาสฟังประโยค 3 ครั้ง แล้วให้พิมพ์ประโยคตามที่ได้ยิน ซึ่งก็จะเป็นประโยคที่ไม่ยาวมาก เป็นประโยคทั่วไป


 

  • Listen, Then Speak (ฟังโจทย์แล้วพูดตอบ)

(source: DET Official Guide for Test Takers)

 

เป็นการฟังโจทย์ แล้วให้พูดตอบ ซึ่งโจทย์จะไม่ยาวมาก และสามารถฟังได้ทั้งหมด 3 รอบ

 

สรุปเรื่อง Listening ถ้าเทียบกันแล้วคิดว่าสูสีในแง่ที่ว่าการสอบ Duolingo นั้นจะเอาทักษะการฟังไปบวกกับทักษะอื่น ไม่ได้เน้นที่การฟังอย่างเดียว แต่ข้อดีก็คือฟังแต่สั้น ๆ ไม่ต้องฟังบทสนทนา หรือบทบรรยายยาว ๆ

ส่วนฝั่ง IELTS นั้นจะเป็นการฟังที่ค่อนข้างยาว และเอาเข้าจริงเนื้อหาจะมีการหลอกล่อมากกว่า (เช่นเปลี่ยนคำตอบไปมา ทำให้เรางงเวลาจะเลือกตอบ) อีกทั้งเวลาสอบจริงก็คือต้องฟัง อ่านโจทย์ เขียนหรือพิมพ์ตอบไปด้วย ซึ่งยากมาก ถ้าคนที่ไม่แน่นพอ หลุดได้ง่าย ๆ เลยค่ะ นอกจากนี้เวลาสอบ IELTS ยังต้องคอยพะวงกับคำสั่งอีกด้วยว่ากำหนดจำนวนคำเท่าไร ให้ตอบเป็นอะไร เพราะถ้าทำผิดคำสั่ง ก็อดคะแนน

 

☀☀☀☀

8. ความซับซ้อนของข้อสอบ

 

สรุปในสรุปอีกที!

 

  • ถ้าเทียบกันแล้วการสอบ Duolingo English Test นั้นจะซับซ้อนน้อยกว่า และคำสั่งจะค่อนข้างชัดเจน ตรงไปตรงมา เช่น Read, Then Write (อ่านโจทย์แล้วเขียน) ซึ่งทำให้เราไม่ต้องคอยพะวงว่าเอ๊ะ โจทย์ชุดนี้ คำสั่งให้ทำอะไรนะ
  • ในส่วนข้อควรระวัง ข้อกำหนดต่าง ๆ Duolingo English Test นั้นก็จะน้อยกว่า เพราะจะมีแค่พาร์ทเดียวที่กำหนดจำนวนคำมา ส่วนพาร์ทอื่น ๆ นั้นแค่ตอบในเวลาที่กำหนด (ซึ่งมีขั้นต่ำมมาให้ ถ้านึกต่อไม่ออกแล้ว แล้วถึงขั้นต่ำแล้ว ก็สามารถกด NEXT ต่อได้เลย)
  • Reading และ Writing ของ IELTS นั้นจะซับซ้อนกว่า DET อาจจะเป็นเพราะอิงกับความวิชาการมากกว่า ทำให้ต้องเป็นบทความที่ยาวและยากกว่า รวมถึงโจทย์ Writing ที่ซับซ้อนกว่าด้วย
  • สุดท้าย Speaking อันนี้เป็นความถนัดส่วนบุคคล ถ้าใครกลัวคน ก็จะมองว่าสอบ DET ดีกว่า พูดกับคอมน่าจะไม่เกร็งเท่าพูดกับคน และอีกแง่คือเป็นการพูดตอบสั้น ๆ ทีละน้อย สลับกับการทำข้อสอบแบบอื่น ไม่ต้องนั่งเกร็งอยู่กับ examiner นาน ๆ

☀☀☀☀

9. Checklist สรุปเลือกสอบอะไรดี?

 

สำคัญที่สุด!

จาก Checklist ด้านบน ให้ทุกคนลองติ๊กในข้อที่เป็นตัวเองดูนะคะ ว่าเราเหมาะกับอันไหนมากกว่า แต่! ข้อที่สำคัญที่สุดคือต้อง “อย่าลืมเช็ก” ว่าสถาบันหรือมหาวิทยาลัยที่เรากำลังจะยื่นนั้นรับคะแนนอะไรบ้าง

ไม่งั้นเผลอสอบไป แต่สุดท้ายเอาคะแนนไปใช้ไม่ได้ ก็เสียดายแย่เลยค่ะ

 

ในส่วนของคะแนน DET ใช้กับสถาบันไหนได้บ้าง สามารถเข้าไปหาชื่อสถาบันได้ที่นี่เลยค่ะ https://englishtest.duolingo.com/institutions

 

✅ ครบที่สุด สำหรับการสอบ Duolingo English Test

ติวสอบ Duolingo English Test ครบทุกพาร์ท

  • เจาะลึกข้อสอบทุกรูปแบบในการสอบ Duolingo English Test
  • เทคนิคการทำโจทย์แต่ละแบบ พร้อมสิ่งที่ต้องระวังเวลาสอบ
  • รวมหัวข้อแกรมม่า และคำศัพท์ที่ควรรู้สำหรับการสอบ Duolingo
  • เนื้อหาแน่น พร้อมมาทำข้อสอบ อธิบายวิธีทำแบบละเอียด
  • พิเศษ! ตะลุยข้อสอบ Duolingo English Test เสมือนจริง! พร้อมเฉลยครบถ้วน!
  • ทั้งหมดนี้เรียนได้ Online จากที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา
  • มีคำถามสงสัย สอบถามได้ตลอด

 

👉 ลองติว Duolingo English Test คลิกเลย! 👈